วันที่ 19 ส.ค.64 เวลา 11.00 น. ที่กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) : นางมาวดี ศรีวิรัตน์ อายุ 55 ปี ลูกสาว “อาม่าฮวย” นางฮวย ศรีวิรัตน์ มารดา พร้อมด้วย นายกฤษฎา อินทามระ ทนายความ เดินทางเข้าพบ ร.ต.อ.ฐานันดร สาสูงเนิน และ ร.ต.ท.หญิง รัฐฐานนท์ คชนนท์ รอง สว.(สอบสวน) กก.3 บก.ปอท.
โดยนำหลักฐานเกี่ยวกับการลงข่าวที่บิดเบือนข้อเท็จจริง
โดยในวันนี้ นายกฤษฎาฯ ทนายความ พร้อม นางมาวดีฯ เดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวน ปอท. เพื่อมอบหลักฐานเพื่อขอให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีสื่อออนไลน์ลงข่าวบิดเบือนว่า นางมาวดีฯ ทยอยถอนเงินในบัญชีกว่า 24.7 ล้านบาท และถ่ายโอนทรัพย์สินอื่นๆ ในขณะที่ นางฮวยฯ นอนพักฟื้นรักษาตัวด้วยโรคเส้นเลือดหัวใจตีบที่โรงพยาบาล ก่อนศาลอาญาพระโขนงลงโทษจำคุก 12 ปี
นายกฤษฎาฯ กล่าวว่า คดีหมายเลขดำที่ อ.1668/2563 คดีหมายเลขแดงที่ อ.924/2564 ศาลอาญาพระโขนงลงโทษจำคุก 12 ปี โดยคดีนี้ นางฮวย ศรีวิรัตน์ โดย น.ส.มินตรา ศรีวิรัตน์ ผู้รับมอบอำนาจ เป็นโจทก์ฟ้องว่า นางมาวดี ศรีวิรัตน์ จำเลยข้อหา ลักเงินออกจากบัญชีโจทก์รวม 6 ครั้งเป็นเงิน 24.7 ล้านบาทนั้น ช่วงระหว่าง 57-58 ซึ่งทางเราก็น้อมรับคำตัดสินของศาลและอยู่ระหว่างยื่นอุทธรณ์ และไม่ใช่คดีที่ยักยอกทรัพย์ นางฮวยฯ จำนวน 253 ล้านบาท ซึ่งยังอยู่ระหว่างพิจารณา ตามที่ปรากฏเป็นข่าว
นายกฤษฎาฯ กล่าวอีกว่า ส่วนคดีเงิน 253 ล้านบาทนั้น คือคดีหมายเลขดำที่ อ.3228/2562 ที่พนักงานอัยการ สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญาพระโขนง 3 และ นางฮวย ศรีวิรัตน์ ได้เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นางมาวดี ศรีวิรัตน์ และเจ้าหน้าที่ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) อีก 4 คน เป็นจำเลย ฐานยักยอกทรัพย์มูลค่า 253 ล้านบาทนั้น ขณะนี้ศาลอาญาพระโขนง ซึ่งคดีนี้ยังอยู่ในระหว่างพิจารณาสืบพยานจำเลยในเดือน ธันวาคม 2564
“วันนี้มาพบพนักงานสอบสวน บก.ปอท. เพื่อมอบหลักฐานตรวจสอบสื่อมวลชนสำนักต่างๆ ที่มีการเสนอข่าวคลาดเคลื่อนและปรึกษาข้อกฎหมาย ซึ่งจริงแล้วศาลชั้นต้น ตัดสินคดีจำนวนเงิน 24.7 ล้านบาท และได้ยื่นอุทธรณ์แล้ว ส่วนคดีเงินจำนวน 253 ล้านบาทนั้นยังอยู่ระหว่างพิจารณา จึงอยากให้สื่อช่วยลงข่าวแก้ไขหากไม่ดำเนินการอาจพิจารณาเอาผิดตามขั้นตอนกฎหมายต่อไป”
ด้าน นางมาวดีฯ กล่าวว่า ส่วนตัวไม่มีอะไรที่จะพูดกับสื่อแต่จะบอกว่าจริงๆแล้วเรื่องนี้เป็นเรื่องภายในครอบครัวคนนอกไม่ได้รู้กับเราว่าครอบครัวเรานั้นเป็นอย่างไรบ้าง ผู้รับมอบอำนาจที่มาฟ้องในคดีนี้ก็เป็นคนที่เคยทำงานร่วมกันมา ส่วนตัวก็ไม่ทราบว่าเขามีอะไรถึงได้มาฟ้องเรา ก็พูดได้แค่ว่าเราคนในครอบครัวไม่มีใครมารู้หรอกว่าครอบครัวเรานั้นเป็นอย่างไรบ้าง ทั้งนี้ครอบครัวเรามีกันเพียงสองคนพี่น้องซึ่งเรื่องนี้หากตกลงกันได้ทุกอย่างมันก็จะจบ แต่นี่ไม่ตกลงไม่คุยกันเลยอยู่ดีๆ ก็มาฟ้องแบบนี้มันไม่ถูกต้อง
สุรเชษฐ ศิลานนท์ รายงาน