วันที่ 5 ส.ค.62 ที่ห้องประชุมธารทิพย์ ศูนย์ปฏิบัติการอัจฉริยะน้ำ กรมชลประทาน :
นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รมว.เกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานการประชุมพร้อมด้วย ร.อ.ธรรมนัส พหรมเผ่า,นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ และ นายประภัตร โพธสุธน รมช.เกษตรฯ ได้มอบนโยบายและแนวทางการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2563 ของกระทรวงเกษตรฯ ต่อมาช่วงบ่ายประชุมร่วมกับสำนักงบประมาณ
นายเฉลิมชัยฯ กล่าวให้นโยบายว่าปัญหาภัยแล้ง เรื่องน้ำ เป็นเรื่องสำคัญที่สุดเป็นความหวังเกษตรกร ซึ่งกรมชลฯต้องเป็นหน่วยงานตอบสนองหาแหล่งน้ำให้เกษตรกร อย่างเร่งด่วน ต้องทำงานตอบโจทย์ความเดือดร้อนให้ได้ทันที รวมทั้งกรมฝนหลวงฯ ขณะนี้เป็นพระเอกของกระทรวงเกษตรฯ ช่วยเพิ่มน้ำให้พื้นที่เกษตรได้ผล
“เรื่องสำคัญที่ผมคิดและที่ทุกคนเฝ้าจับตาทั้งประเทศ การบริหารจัดการน้ำทั้งระบบ มีผลกับพี่น้องประชาชน มีผลจิตวิทยา ความรู้สึก น้ำคือชีวิต ทั้งท่วมแล้ง เขาเดือดร้อน ปัญหามาจากธรรมชาติ เราจัดการให้เกิดประโยชน์สูงสุดได้ ทุกภาคส่วนบูรณาการร่วมกัน การเพิ่มพื้นที่แหล่งกักเก็บน้ำ ต้องตอบได้ว่าผลงานเราแต่ละปีมีอะไรบ้าง เกิดปัญหาน้ำแล้งแต่ละครั้ง ประชาชนเรียกร้อง เรามีแหล่งกักเก็บไม่พอแต่กว่าจะสร้างได้ 10-20 ปี อย่าท้อ หรือสร้างเป็นฝาย อ่างเก็บน้ำขนาดกลาง” นายเฉลิมชัย กล่าว
ภายในสัปดาห์นี้ กระทรวงเกษตรฯ และกระทรวงพาณิชย์ จะร่วมขับเคลื่อนมาตรการประกันรายได้เกษตรกร ยกระดับราคาพืชผลเกษตร 5 ชนิด เช่นข้าวขาว 1 หมื่นบาท/ตัน,ข้าวหอมมะลิ 1.5 หมื่นบาท/ตัน,ยาง 60 บาท,ปาล์ม 4 บาท,มันสำปะหลัง และข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ คาดว่าใช้งบ 1.6 หมื่นล้านบาทในเบื้องต้น ทั้งนี้มีมาตรการดูดซับสินค้าออกจากตลาดเพราะไม่ต้องการใช้งบฯ มาอุดหนุนตลอดไป กรณียางพารา เร่งประสานงานทำเอ็มโอยูกับกระทรวงคมนาคม นำยางไปใช้ทำอุปกรณ์ด้านความปลอดภัยทางถนน เช่น กรวย แบริเออร์ รวมทั้งคุยพ่อค้าคนกลาง กลุ่มประเทศผู้ปลูกยาง สำหรับประกันรายได้ชาวนา ไม่เกินรายละ 30 ไร่ จะเป็นเกษตรกรรายย่อย มีพื้นที่ปลูกระดับนี้ นอกจากนี้ที่ผ่านมามีปัญหาเงินชดเชย ไม่ถึงมือเกษตรกรไปถึงมือเจ้าของที่ดิน ตนจะตั้งคณะกรรมการมาขึ้นมาดูแล เพื่อให้เงินถึงเกษตรกรตัวจริง
“มาตรการช่วยเหลือเพิ่มรายได้ ดูแลปากท้องเกษตรกรให้ดีขึ้น เรื่องน้ำแล้ง น้ำท่วม ต้องทำทันที เพราะรักษาสัญญาของทุกพรรคร่วมรัฐบาล และ4 รัฐมนตรีเกษตร ทำงานเป็นทีม หวังว่าจะทำงานร่วมกันได้ 3-4 ปีหลังจากนี้ ผลักดันนโยบายที่ให้ไว้กับพี่น้องประชาชน ออกมาในส่วนประกันรายได้แก้ความเดือดร้อน ปัญหาปากท้องเรื่องเร่งด่วน ที่นายกรัฐมนตรี เน้นย้ำให้ใช้งบฯกลาง รวมทั้งภัยแล้ง ให้ช่วยประชาชนโดยรวดเร็ว ในส่วนการขุดลอกบึง แหล่งกักเก็บน้ำตื้นเขิน ขอประสานกระทรวงมหาดไทย ใช้งบฯผู้ว่าราชการจังหวัด ไปก่อน ซึ่งผมจะประสานแก้ไขกฏระเบียบ กรมบัญชีกลาง ให้เร็วที่สุดที่ให้พื้นที่ใช้การขุดลอกในรูปแบบต่างตอบแทน โดยให้กำหนดราคากลาง ของดิน เมื่อขุดมาแล้วนำไปขายได้ จะทำให้การแก้ปัญหาภัยแล้งทำได้เร็วขึ้น“ นายเฉลิมชัย กล่าว
นายประภัตรฯ กล่าวว่าปัญหาภัยแล้งขณะนี้ เมื่อมีฝนตกมา ช่วยนาข้าว 1.2 ล้านไร่ ฟื้นตัวได้ แต่หากช่วงนี้จนถึงวันที่ 20 ส.ค.ฝนทิ้งช่วงอีก คาดว่าจะทำให้เสียหายกว่า 10 ล้านไร่ โดย รมว.เกษตรฯสั่งกรมฝนหลวง ระดมทำฝนให้ทั่วถึง เร่งประสานกระทรวงทรัพย์ฯขุดบ่อบาดาล
“ปีนี้มีแล้งถึงสองครั้ง ได้ชดเชยภัยแล้งไปแล้วเมื่อเดือน มี.ค.-เม.ย. และในเดือนนี้ จะประกาศเขตภัยแล้ง เช่น จ.ขอนแก่น ซึ่งเกณฑ์เดิมชาวนาได้รับช่วยเหลือไร่ละ 1,113 บาทต่อไร่ โดยรัฐบาลกำลังปรับเพิ่มไร่ละ1.5-2 พันบาท อย่างไรก็ตามน้ำฝนเริ่มเข้าเขื่อนบ้าง นาข้าวในเขตชลประทาน มีน้ำยืดอายุถึงเก็บเกี่ยวได้ นานอกเขต ยังเสียหายน้อย เพราะทำฝนหลวง ได้ประโยชน์มากชะลอความเสียหายพืช จนมีฝนมาทำให้ตัวเลขเสียหายยังไม่แน่นอนและความเสียหายไม่ถึงปี 58 และมีการแนะนำปลูกพืชทดแทนทำนา นอกจากนี้ เรื่องเร่งด่วนต้องเพิ่มแหล่งน้ำ โดยขณะนี้กรมชลฯออกแบบสร้างแหล่งกักเก็บน้ำในลุ่มน้ำแม่วงค์ ซึ่งประชาชนจ.นครสวรรค์, จ.กำแพงเพชร และจ.อุทัยธานี ได้ประโยชน์
ร.อ.ธรรมนัสฯ กล่าวว่าปัญหาพื้นที่ส.ป.ก.ทับซ้อนพื้นที่อุทยาน และพื้นที่ป่า ต้องเร่งแก้ไขหาทางออกร่วมกันสองกระทรวง ซึ่งวันที่ 5 ส.ค.มอบหมายให้ นายวิณะโรจน์ ทรัพย์ส่งสุข เลขาธิการส.ป.ก.ไปหารือกับอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติฯ โดยเฉพาะพื้นที่วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา ได้ย้ำให้ศึกษาอย่างละเอียดทุกมิติของปัญหาวังน้ำเขียว มองย้อนกลับในอดีต ได้นำชาวบ้านออกจากป่า ในช่วงบ้านเมืองเกิดความไม่สงบ เมื่อออกมาแล้วต้องหาพื้นที่ให้เขาอยู่ ซึ่งภาครัฐจะต้องหาแนวทางแก้ไขให้คนเหล่านี้ให้ได้ ซึ่งเมื่อวานนี้กลุ่มเกษตรกรสมัชชาคนจนกว่า 3 พันคนมายื่นเรียกร้อง เรื่องไม่มีที่ดินทำกิน ผลกระทบจากโครงการรัฐ เป็นปัญหารื้อรังมาหลาย 10 ปี
นายเฉลิมชัยฯ กล่าวเรื่องงบประมาณปี 63 ว่าแผนงานเรื่องน้ำ ต้องทำทันที และมีงบฯผูกพัน พร้อมกับสามารถตอบคำถามประชาชนได้ แก้เรื่องเร่งด่วนปัญหาอะไรบ้างเพราะงบฯตรงนี้ ภาคเกษตรกว่า 40 ล้านคนได้รับประโยชน์ ทั้งสร้างความเข้มแข็งในอาชีพ สร้างมูลค่าเพิ่ม พัฒนาพืชเกษตร ปศุสัตว์ ประมง
สำหรับข้อเสนองบประมาณรายจ่ายประจำปี 2563 ภาพรวมของกระทรวงเกษตรฯ ข้อเสนอปี 2562 วงเงิน 213,386.4994 ล้านบาท ได้รับจัดสรรงบ 111,762.9702 ล้านบาท ข้อเสนอปี 2563 วงเงิน 248,296.2082 ล้านบาท โดยประมาณการเพิ่ม-ลด จากที่ได้รับจัดสรรปี 62 คาดว่าได้รับงบ 136,533.2380 ล้านบาท
แบ่งส่วนราชการ ดังนี้ กรมชลประทาน 90,243.5755 ล้านบาท กรมส่งเสริมการเกษตร 2,838.0887 ล้านบาท กรมปศุสัตว์ 5,319.6721 ล้านบาท กรมพัฒนาที่ดิน 4,802.4136 ล้านบาท กรมวิชาการเกษตร 802.7459 ล้านบาท กรมประมง 4,712.0684 ล้านบาท กรมการข้าว 5,299.5845 ล้านบาท กรมส่งเสริมสหกรณ์ 2,543.5202 ล้านบาท กรมฝนหลวงและการบินเกษตร 1,158.2691 ล้านบาท สำนักงานปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม 1,280.3809 ล้านบาท สำนักปลัดกระทรวงเกษตรฯ 1,855.3809 ล้านบาท กรมตรวจบัญชีสหกรณ์ 866.1705 ล้านบาท กรมหม่อนไหม 370.2205 ล้านบาท สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร 248.3795 ล้านบาท สถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง(องค์กรมหาชน) 105.3441 ล้านบาท สำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร 1,116.7042 ล้านบาท สำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ 118.6562 ล้านบาท สำนักงานพิพิทภัณฑ์เกษตรเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว (องค์กรมหาชน) 255.7629 ล้านบาท
ในส่วนรัฐวิสาหกิจ ภาพรวม 11,115.9135 ล้านบาท แบ่งเป็น องค์การตลาดเพื่อเกษตรกร 6.8968 ล้านบาท ลดจากปี 62 วงเงิน 639.2125 ล้านบาท การยางแห่งประเทศไทย 10,565.6704 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 7,043 เพิ่มจากปี 62 วงเงิน150 ล้านบาท องค์การสะพานปลา 543.3463 ล้านบาท ลดจากปี 62 วงเงิน 93.7537 ล้านบาท
และกองทุน ภาพรวม 1,479.7490 ล้านบาท แบ่งเป็น กองทุนจัดรูปที่ดิน 554.7490 ล้านบาท ลดจากปี 62 รับวงเงิน 1,489.7490 ล้านบาท กองทุนฟื้นฟูพัฒนาเกษตรกร 825 ล้านบาท ลดลงจากปี 62 รับ 1,330 ล้านบาท กองทุนหมุนเวียนเพื่อการกู้ยืมแก่เกษตรกรและผู้ยากจน 100 ล้านบาท ลดลงจากปี 62 รับ 500 ล้านบาท ส่วนกองทุนปรับโครงสร้างการผลิตภาคเกษตรเพื่อเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันประเทศ ไม่ได้จัดสรรงบประมาณ
นโยบายรัฐบาลที่กระทรวงเกษตรฯเกี่ยวข้องในเรื่องเร่งด่วน12 เรื่อง และกระทรวงเกษตรฯดำเนินการ 9 เรื่อง วงเงินรวม 68,790.4394 ล้านบาท มาตรการแก้ปัญหาในการดำรงชีวิตของประชาชน วงเงิน 5,937 ล้านบาท เช่นแก้ไขหนี้สินเกษตรกร สมาชิกสหกรณ์ กลุ่มเกษตรกร 432,790 ราย วงเงิน 3,254 ล้านบาท การปรับปรุงระบบที่ดินทำกินให้เกษตรกรเข้าถึงได้ 63,000 ราย 619 ล้านบาทในพื้นที่ส.ป.ก. และจัดที่ดินส.ป.ก.ให้ผู้ยากไร้ 36 พื้นที่ วงเงิน 25ล้านบาท จัดระเบียบการทำประมง ลดอุปสรรคในธุรกิจประมงพาณิชย์ ประมงชายฝั่ง 1,192 ล้านบาท ช่วยเหลือดูแลประมงพื้นบ้าน สร้างความเข้มแข็งชุมชนประมง 467 กลุ่ม 142 ล้านบาท มาตรการเศรษฐกิจเพื่อรองรับความผันผวนทางเศรษฐกิจโลก ส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงเกษตรภายในประเทศ วงเงิน 158 ล้านบาท มาตรการให้ความช่วยเหลือเกษตรกรและพัฒนานวตกรรม วงเงิน 22,438 ล้านบาท เช่นการจัดพื้นที่เกษตรตามอะกริแม๊พ เพื่อบริหารจัดการเชิงรุกผลิตสินค้าเกษตร วงเงิน 1,921 ล้านบาท
นอกจากนี้มาตรการส่งเสริมระบบประกันภัยสินค้าเกษตร ศึกษาแนวทางการพัฒนาระบบประกันภัยผลผลิตทางการเกษตร วงเงิน 7 ล้านบาท ส่งเสริมเกษตรพันธสัญญา 4.8 ล้านบาท
มาตรการให้ความช่วยเหลือเกษตรกรและพัฒนานวตกรรม วงเงิน 22,438 ล้านบาท แบ่งเป็นแก้ปัญหาข้าว แผนการผลิตข้าวครบวงจร วงเงิน 6,080 ล้านบาท บริหารจัดการรับฝากและเก็บรักษาสินค้าเกษตร วงเงิน 87 ล้านบาท แก้ไขปัญหายางพารา วงเงิน 10,714 ล้านบาท (กยท.) ส่งเสริมการใช้ยางพาราในภาคอุตสาหกรรมและการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ ส่งเสริมการใช้ยางในหน่วยงานรัฐ 1,209 ตัน วงเงิน 1,997 ล้านบาท ควบคุมการใช้สารเคมี ปุ๋ยเคมี ส่งเสริมการใช้ชีวภัณฑ์ วงเงิน 80 ล้านบาท ควบคุมการใช้สารเคมี วงเงิน 363 ล้านบาท ส่งเสริมการใช้สารอินทรีย์ลดการใช้สารเคมีทางการเกษตร 1 ล้านไร่ วงเงิน 241 ล้านบาท ต่อยอดภูมิปัญญาและความรู้ของปราชญ์ชาวบ้าน ขยายผลใช้องค์ความรู้ ภูมิปัญญาชาวบ้าน พัฒนาศูนย์ปราชญ์ชาวบ้าน วงเงิน 239 ล้านบาท โครงการเกษตรทษฏีใหม่ วงเงิน 522 ล้านบาท โครงการเกษตรผสมผสาน 172 ล้านบาท วิจัยพัฒนาเทคโนโลยีการใช้กัญชง 6 ล้านบาท มาตรการยกระดับศักยภาพแรงงาน จัดการปัญหาแรงงานต่างด้าว การค้ามนุษย์ด้านการประมง 5 หมื่นราย 45 ล้านบาท มาตรการวางรากฐานระบบเศรษฐกิจของประเทศ สู่อนาคต วงเงิน 507 ล้านบาท สร้างผู้ประกอบการอัจฉริยะ ขนาดย่อม กลาง เกษตรกร ยุคใหม่ 17,640 ราย 56 ล้านบาท พัฒนาผู้ประกอบการ 82 ล้านบาท โครงการพัฒนาเกษตรกรปราดเปรื่อง 368 ล้านบาท มาตรการเตรียมคนไทยสู่ศตวรรษที่ 21 วงเงิน 3.9 ล้านบาท พัฒนาบุคคลากรวิจัยด้านเกษตร 1,040 คน มาตรการแก้ไขปัญหายาเสพติดและสร้างความสงบสุขในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ 275 ล้านบาท มาตรการพัฒนาระบบการให้บริการประชาชน วงเงิน 159 ล้านบาท
ทั้งนี้การชดเชยประกันรายได้เกษตรกรในสินค้าสำคัญ อาทิ ข้าว 1หมื่นบาทต่อตัน ข้าวหอมมะลิ 1.5 หมื่นบาทต่อตัน ยางพารา 60 บาทต่อกก. มันสำปะหลัง ปาล์ม 4 บาทต่อกก.ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ 8ิบาทต่อกก.ใช้งบกลางวงเงิน 1.6 หมื่นล้านบาท รวมทั้งชดเชยภัยแล้ง ใช้งบกลาง เพราะเป็นเรื่องช่วยเหลือเฉพาะหน้า
ทั้งมีการจัดเตรียมมาตรการรองรับภัยแล้งและอุทกภัย วงเงิน 39,264.5827 ล้านบาท การป้องกันก่อนเกิดภัย การให้ความช่วยเหลือ ระหว่างเกิดภัยและการแก้ไขระยะยาว ในการบริหารจัดการน้ำ วงเงิน 10,218 ล้านบาท การจัดการน้ำท่วมและอุทกภัย วงเงิน 25,925 ล้านบาท จัดระบบติดตามสถานการณ์ต่อเนื่อง กำหนดมาตรการบรรเทาความเดือดร้อนประชาชนอย่างทันท่วงที การพัฒนากาปฏิบัติการฝนหลวงให้มีประสิทธิภาพ วงเงิน 3,120 ล้านบาท
งานนโยบายสำคัญของกระทรวงเกษตรฯต่อเนื่องปี 63 สอดคล้องนโยบายรัฐบาล รวมงบประมาณ 162,745 ล้านบาท อาทิ การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ 139,845 ล้านบาท ศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร 1,127 ล้านบาท ระบบส่งเสริมเกษตรแปลงใหญ่ 1,424 ล้านบาท แผนการผลิตข้าวครบวงจร 6,080 ล้านบาท การยกระดับคุณภาพมาตรฐานสินค้เกษตร 3,446 ล้านบาท การพัฒนาศักยภาพกระบวนการผลิตสินค้าเกษตร มันสำปะหลัง ปาล์ม สับปะรด มะพร้าว กาแฟ ทุเรียน มังคุด ลองกอง ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ หม่อนไหม ประมง ปศุสัตว์ และพืชอื่นๆ 3,162 ล้านบาท การส่งเสริมใช้ยางหน่วยงานรัฐ 1,997 ล้านบาท
ระหว่างนี้ทุกหน่วยงานรับพิจารณาตามขั้นตอน เสนอรมว.เกษตรฯวันที่ 9 ส.ค.และส่งสำนักงบประมาณ ทุกหน่วยจัดทำรายละเอียดตามสำนักงบฯต้องการ
*********************************
สุรเชษฐ ศิลานนท์ รายงาน