วช. ผนึก ม.หาดใหญ่ พลิกฟื้น “ป่าชายเลนทะเลสาบสงขลา” สู่ระบบนิเวศ และชีวิตยั่งยืน ด้วยพลังชุมชน
สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ติดตามผลสำเร็จ โครงการ “การจัดการความรู้ข้อเสนอเชิงนโยบายสู่การปฏิบัติในการฟื้นฟูการปลูกป่าชายเลนในบริเวณลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลาแบบประชารัฐ” ของนักวิจัย มหาวิทยาลัยหาดใหญ่ ณ ตำบลชะแล้ อำเภอสิงหนคร จังหวัดสงขลา ช่วยชุมชนดำรงชีวิตและประกอบอาชีพ โดยพึ่งพิงธรรมชาติได้อย่างยั่งยืน
ผศ.ดร.นุกูล ชิ้นฟัก ผู้ช่วยคณบดีคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยหาดใหญ่ ในฐานะหัวหน้าโครงการวิจัย เปิดเผยว่า ลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา มีขนาดครอบคลุมพื้นที่กว่า 3 จังหวัด ได้แก่ สงขลา,พัทลุง และนครศรีธรรมราช ครอบคลุมพื้นที่ 8,729 ตร.กม. โดยแบ่งเป็นทะเลสาบ พื้นที่ 1,042 ตร.กม. ที่สูงจากระดับน้ำทะเล 1,200 เมตร เป็นแหล่งต้นน้ำของลุ่มน้ำแห่งเดียวของประเทศไทยที่มีระบบนิเวศลักษณะเฉพาะตัวแบบ 3 น้ำ คือ น้ำจืด,น้ำกร่อย และน้ำเค็ม จึงอุดมสมบูรณ์ไปด้วยสัตว์น้ำและความหลากหลายทางชีวภาพสูง แต่เนื่องจากการเติบโตและการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของสังคมโลกในปัจจุบัน ทะเลสาบสงขลาจึงถูกคุกคามอย่างรุนแรง มีการใช้ประโยชน์โดยไม่คำนึงถึงความยั่งยืน ตลอดระยะเวลา 30 ปีที่ผ่านมา นักวิจัยต่างได้พยายามศึกษาค้นคว้า จนตกผลึกทางความคิดว่า การดำเนินการรักษาและฟื้นฟูป่าชายเลนบริเวณทะเลสาบสงขลา ควรเป็นไปในลักษณะบูรณาการ เน้นความสมดุลในพื้นที่ 3 มิติ คือ นิเวศ เศรษฐกิจ และสังคม ภายใต้การมีส่วนร่วมอย่างเข้มแข็งของทุกภาคส่วน
นักวิจัยและหน่วยงานในพื้นที่ จึงได้นำนโยบายและ ยุทธศาสตร์การอนุรักษ์ฟื้นฟูการปลูกป่าชายเลนในบริเวณลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลาแบบประชารัฐ มาต่อยอดปฏิบัติให้เป็นรูปธรรมในพื้นที่หมู่ 4 ตำบลชะแล้ อำเภอสิงหนคร จังหวัดสงขลา ซึ่งเป็นพื้นที่ของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม โดยได้รับทุนสนับสนุนการวิจัยจาก (วช.) มีการลงพื้นที่ทำข้อตกลง MOU ระหว่างเทศบาลตำบลชะแล้ และ ม.หาดใหญ่ พร้อมทั้งเชื่อมโยงกลุ่มเครือข่าย เช่น กลุ่มชุมชนรักษ์ชะแล้ สำนักงานทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งที่ 5 (เกาะยอ) โรงเรียนวัดชะแล้ กลุ่มประมงพื้นบ้าน บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) เป็นต้น เพื่อร่วมกันออกแบบกิจกรรม สร้างการรับรู้และตระหนักในการมีส่วนร่วมฟื้นฟูการปลูกป่าชายเลนอย่างต่อเนื่อง สู่การลงมือปฏิบัติจริง โดยใช้แนวคิด “บางเหรียงโมเดล” คือ การปลูกป่าชายเลนแบบผสมผสาน
การปลูกป่าชายเลนแบบผสมผสาน มีลักษณะการคัดเลือกสถานที่ที่เหมาะสมกับพันธุ์ไม้แต่ละชนิด และเตรียมกล้าไม้เพื่อเพาะชำอย่างเหมาะสม เช่น ต้องมีความสูงไม่ต่ำกว่า 30 ซม. ลงปลูกอย่างถูกวิธี และดูแลบำรุงรักษา โดยบูรณาการแก้ไขปัญหาอย่างรอบด้าน เช่น การทำไม้ไผ่กันลม การรณรงค์ร่วมกันเก็บเศษขยะทิ้งออกจากพื้นเป็นระยะๆ พร้อมทั้งอบรมให้ชุมชนกำจัดหนอน หอยหรือสัตว์ที่ทำลายพันธุ์กล้าป่าชายเลน อนาคตยังมองแนวทางที่จะพัฒนาให้ป่าชายเลนริมทะเลสาบสงขลาแห่งนี้ เป็นสถานที่ท่องเที่ยวเชิงนิเวศ เป็นแหล่งเพาะลูกกุ้ง ลูกปลาที่อุดมสมบูรณ์อีกด้วย โดยจะต้องศึกษาข้อมูลเชิงนิเวศวิทยา เพื่อสนับสนุนการใช้ประโยชน์ต่อไป
“พันธุ์กล้าไม้ที่ทีมวิจัยและชุมชนร่วมกันปลูกในโครงการ ตั้งแต่ช่วงต้นปี พ.ศ.2563 ที่ผ่านมา ได้แก่ ต้นจิก,ตีนเป็ดทะเล,จาก,หยีน้ำ,สารภีทะเล,เสม็ดขาว และโกงกางใบเล็ก จำนวน 3,650 ต้น ซึ่งต้องดูผลลัพธ์ต่อไปอีก 4-5 ปี อย่างไรก็ตาม ขณะนี้เริ่มเกิดผลพวงจากความอุดมสมบูรณ์ทางธรรมชาติมากขึ้นแล้ว อาทิ ชาวประมงสามารถจับปลาได้มากกว่าแต่ก่อน ต้นเสม็ดที่ปลูกมาแล้ว 2-3 ปี ออกดอกให้เกสรเป็นอาหารชั้นดีแก่ผึ้งชันโรง ซึ่งชาวบ้านเลี้ยงไว้เป็นอาชีพเสริมกันมากขึ้น เกิดการจัดตั้งกลุ่มวิสาหกิจชุมชนเพิ่มขึ้น 3 กลุ่ม การจัดตั้งสภาเด็กและเยาวชนวัยใส ใส่ใจสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ ด้วยความร่วมมือของทุกภาคส่วน ในการจัดประชุมหารืออย่างจริงจังและต่อเนื่อง ทำให้เกิดการจัดตั้งศูนย์วิจัยชุมชนชะแล้ เพื่อเป็นแหล่งเรียนรู้ของนักเรียน ผู้สนใจ และสามารถส่งต่อเป็นโครงการให้แผนพัฒนาตำบลต่อไปได้ โดยกลุ่มคนในท้องถิ่น และทีมวิจัยยังคงร่วมกันปลูกป่าชายเลนอย่างต่อเนื่อง จนเกิดภาคีชุมชนที่เข้มแข็งขึ้น ดำเนินวิถีชีวิตด้วยความหวงแหนและพึ่งพิงธรรมชาติได้อย่างยั่งยืน” ผศ.ดร.นุกูลฯ กล่าว
สุรเชษฐ ศิลานนท์ รายงาน