“อลงกรณ์” เผยเจรจาเวียดนามสำเร็จตกลงจับมือไทยยกระดับราคาข้าวในตลาดโลก เตรียมเสนอรัฐมนตรีเกษตร “เฉลิมชัย-เล มิน ฮวาน” ตั้งกลไกขับเคลื่อนพร้อมขยายการค้าสินค้าเกษตร 2 ชาติ
นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยวันนี้(29 ส.ค)ภายหลังเสร็จสิ้นภารกิจการเยือนสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามตามที่ ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์มอบหมายว่า ในการเยือนสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามครั้งนี้นับว่าประสบความสำเร็จในการขยายความร่วมมือด้านการเกษตรและการค้าระหว่าง 2 ประเทศ โดยเฉพาะผลการประชุมหารือความร่วมมือด้านข้าวกับ
นายเจิ่น แทงห์ นาม (H.E. Mr. Tran Thanh Nam) รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและพัฒนาชนบทและคณะผู้บริหารระดับสูง ณ นครเกิ่นเทอ โดยรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรฯ.เวียดนามยืนยันอย่างแข็งขันและมุ่งมั่นในการร่วมมือกับไทยยกระดับราคาข้าวในตลาดโลก
“การเจรจาครั้งนี้เป็นการเจรจารอบที่2 ต่อจากการประชุมหารือที่ฝ่ายไทยเสนอข้อริเริ่มให้มีความร่วมมือร่วมกันยกระดับราคาข้าวที่กรุงเทพเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาและรายงานให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรทั้ง 2 ฝ่าย คือ ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และนายเล มิน ฮวาน (Mr. Le Minh Hoan) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและพัฒนาได้ทราบและเห็นด้วยในหลักการจนนำมาสู่การเจรจาล่าสุด นับเป็นความสำเร็จและเป็นครั้งแรกที่ประเทศไทยและเวียดนามซึ่งเป็นประเทศผู้ผลิตและส่งออกข้าวอันดับที่2และ3 ของโลก ตกลงร่วมมือกันเพื่อยกระดับราคาข้าวในตลาดโลก เป็นงานที่ยากและยังมีภารกิจที่ท้าทายรออยู่เบื้องหน้าจะสำเร็จตามเป้าหมายหรือไม่ยังตอบไม่ได้แต่วันนี้เราได้เริ่มเดินก้าวแรกร่วมกันแล้วในฐานะหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ด้านการเกษตร”
นายอลงกรณ์กล่าวว่า “เราเห็นตรงกันว่าราคาข้าวในตลาดโลกไม่เป็นธรรมกับประเทศผู้ผลิตและชาวนาของ2ประเทศมาเป็นเวลายาวนานนำมาซึ่งหนี้สินและความยากจนจึงถึงเวลาที่ต้องต่อสู้เพื่อชาวนา ตัวอย่างชัดเจนที่สุดคือราคาข้าวในปัจจุบัน ไม่สอดคล้องกับต้นทุนการผลิตข้าวที่เพิ่มสูงขึ้นทั้งราคาปุ๋ยและราคาน้ำมันจากผลกระทบของวิกฤตการณ์โควิด19และสงครามรัสเซีย-ยูเครน หากปล่อยสถานการณ์ราคาข้าวเป็นอยู่เช่นนี้ชาวนาจะอยู่ไม่ได้เพราะขาดทุนหันไปทำเกษตรอื่นที่มีรายได้มากกว่าจะส่งผลให้ปริมาณการผลิตข้าวลดลงในระยะยาวกระทบต่ออุปทานข้าวของโลกสวนทางกับอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้นจากประชากรโลกที่เพิ่มขึ้นและปัญหาความมั่นคงด้านอาหารจะรุนแรงมากขึ้น”
นายอลงกรณ์เปิดเผยด้วยว่า ทั้ง 2 ฝ่าย จะนำเสนอผลสรุปของการประชุมเสนอต่อรัฐมนตรีเกษตรของ 2 ประเทศ เพื่อตั้งกลไกขับเคลื่อนร่วมกันในรูปของคณะทำงานเฉพาะกิจ และให้แจ้งสมาคมชาวนา สมาคมผู้ค้าข้าว สถาบันอาหารและสมาคมผู้ส่งออกข้าวของไทยและเวียดนามได้ทราบถึงแนวทางความร่วมมือดังกล่าว รวมทั้งจะเจรจาความร่วมมือกับประเทศผู้ผลิตและผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่อื่นๆต่อไป โดยระหว่างนี้จะกระชับความร่วมมือด้านข้าวระหว่างไทยกับเวียดนามในระดับองค์กรชาวนาและหน่วยงานด้านการเกษตรให้มากขึ้นซึ่งนายฟาน จี๊ ทัญ เอกอัครราชทูตเวียดนามประจำประเทศไทยมีส่วนสำคัญต่อการประสานความร่วมมือระหว่าง2ประเทศในครั้งนี้
นายอลงกรณ์กล่าวต่อไปว่า ทั้ง 2 ฝ่าย ยังเห็นตรงกันที่จะเพิ่มการค้าสินค้าเกษตรให้มากขึ้นและสมดุลมากขึ้น ทั้งนี้จากสถิติการค้าในปี2564 มีมูลค่าการค้าสินค้าเกษตรระหว่างไทย กับเวียดนาม จำนวน 74,214 ล้านบาท โดยไทยนําเข้า 25,465 ล้านบาท และส่งออกไปเวียดนาม 48,750 ล้านบาท ฝ่ายไทยได้เปรียยดุลการค้า 23,285 ล้านบาท โดยเฉพาะการค้าข้าวระหว่าง 2 ประเทศ ยังสามารถขยายตัวเพิ่มขึ้น เนื่องจากเวียดนามนอกจากจะเป็นประเทศผู้ส่งออกข้าวแล้วยังนำเข้าข้าวปีละ 1.2 ล้านตัน และไทยเป็นประเทศที่ส่งออกข้าวไปเวียดนามเป็นอันดับที่4 สามารถเพิ่มการส่งออกข้าวไปสนับสนุนเวียดนามได้เพิ่มขึ้นนับเป็นตลาดที่ใกล้ตัวและคนเวียดนามนิยมข้าวไทยโดยเฉพาะข้าวหอมมะลิ
ในระหว่างการเยือนครั้งนี้นายอลงกรณ์และคณะประกอบด้วย นายจักรกริช เรืองขจร รองกงสุลใหญ่นครโฮจิมินห์, นายณฐกร สุวรรณธาดา คณะที่ปรึกษารัฐมนตรีเกษตรฯ, และผู้บริหารกระทรวงเกษตรเวียดนาม ยังได้เยี่ยมชมสถาบันวิจัยและพัฒนาพันธ์ุข้าว แปลงข้าวและการใข้เครื่องจักรกลเกษตรเทคโนโลยีเกษตร โดยมีนายเจิ่น แทงค์ นาม รมช.เกษตร และชนบทเวียดนาม และดร.เจิ่น หงับ ถัดห์ ผอ.สถาบันวิจัยข้าวสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขงนำชมอย่างใกล้ชิด
นอกจากนี้ยังได้พบหารือกับชาวนา โรงสีข้าวและสหกรณ์การเกษตรที่หมีเว้ย (My Quoi agricultural cooperative)ที่จังหวัดเตี่ยน ซาง (Tiền Giang Province)รวมทั้งสำรวจตลาดข้าวในนครโฮจิมินห์อีกด้วย