พ่อเฒ่า 88 ปี ป่วยเป็นโรคอัลไซเมอร์ก่อเหตุใช้มีดแทงปักอกยายนวล น้องสาววัย 78 ปี หลังกลับจากฟอกไต ดับคาบ้าน
เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 2566 เวลาประมาณ 13.30 น. พ.ต.ท.ภัทร ตนะทิพย์ พงส.สภ. ปัว จ.น่าน ได้รับแจ้งเหตุจากศูนย์วิทยุนครน่าน 191 ตำรวจภูธรจังหวัดน่าน ว่ามีเหตุแทงกันตายที่บริเวณภายในบ้านเลขที่ 15 ม.4 ต.ปัว อ.ปัว จ.น่าน หลังจากเกิดเหตุคนร้ายได้หลบหนีไป หลังจากที่ได้รับแจ้งจึงรายงานให้ พ.ต.อ.บุญส่ง นิกรเถื่อน ผกก.สภ.ปัว,พ.ต.ท.สัณห์ ล้านมา รอง ผกก.สส.สภ.ปัว พร้อมด้วย เจ้าหน้าที่ตำรวจสายสายตรวจ และเจ้าหน้าที่ตำรวจฝ่ายสืบสวนได้เดินทางออกไปตรวจที่เกิดเหตุ
ที่เกิดเหตุเป็นบ้านสองชั้นครึ่งปูนครึ่งไม้หลังใหญ่ ที่ภายในห้องโถงชั้นล่างบริเวณข้างโซฟานั่งเล่น พบร่างไร้วิญญาณของนางนวล ขอสงวนนามสกุล วัย 78 ปี (นางนวล ชาวแหลง อายุ 78 ปี อยู่บ้านเลขที่ 15 หมู่ 4 ต.ปัว อ.ปัว จ.น่าน) เป็นเจ้าของบ้านหลังดังกล่าว สภาพศพนอนหงายจมกองเลือด สวมใส่เสื้อคอกระเช้าสีเขียว สวมผ้าถุงลายดอก จึงได้ร่วมกับแพทย์ทำการชันสูตรพลิกศพ พบมีรอยบาดแผลถูกของมีคมหลายแห่งที่บริเวณใต้คาง หน้าอกใต้ราวนมด้านขวาทะลุหลัง แขน และมือ รวม 4 แผล
จากการสอบสวนเบื้องต้นทราบว่า คนร้ายที่ก่อเหตุชื่อนายสมบูรณ์ ขอสงวนนามสกุล วัย 88 ปี (นายสมบูรณ์ ศรียา อายุ 88 ปี บ้านเลขที่ 145 หมู่ 4 ต. ปัว อ.ปัว จ.น่าน ซึ่งเป็นพี่ชายของนางนวล ผู้ตาย ) มีบ้านพักอาศัยอยู่ถัดจากบ้านที่เกิดเหตุไป 3 หลัง หลังก่อเหตุได้เดินหลบหนีไปพร้อมด้วยอาวุธมีดที่ใช้ก่อเหตุ โดยชาวบ้านแจ้งว่า นายสมบูรณ์ หลังก่อเหตุได้เดินหลบหนีไปบริเวณถนนในสภาพคนแก่เดินเซไปเซมา เสื้อผ้าเปื้อนเลือด เจ้าหน้าที่จึงออกติดตามจนพบว่านายบูรณ์กำลังเดินมุ่งหน้าอยู่ริมถนนแบบไร้จุดหมาย จึงได้ทำการเข้าควบ คุมตัว นายสมบูรณ์ วัย 88 ผู้ต้องหา ได้ที่บริเวณบนถนนสาย น่าน – ทุ่งช้าง ไม่ไกลจากบ้านที่เกิดเหตุ พร้อมตรวจยึดอาวุธมีดปลายแหลม ความยาวรวมด้ามประมาณ 40 เซนติเมตร เปื้อนเลือดอาวุธที่ใช้ในการก่อเหตุไว้เป็นของกลาง พร้อมแจ้งกล่าวหานายสมบูรณ์ วัย 88 ปี ผู้ต้องหาว่า ฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา โดยผู้ต้องหาให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา
จากการสืบสวนสอบสวนได้ความว่า นายสมบูรณ์ วัย 88 ปี และนางนวล วัย 78 ปี เป็นพี่น้องร่วมสายโลหิตเดียวกัน นายบูรณ์ เป็นพี่ชาย วัย 88 ปี ป่วยเป็นโรคความจำเสื่อม หรืออัลไซเมอร์ มาหลายปีแล้วได้รับยามารักษาต่อเนื่องที่โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชปัว อาการคือมีความจำหลงๆ ลืมๆ ขับถ่ายไม่รู้ตัวจึงต้องใส่ผ้าอ้อมแบบผู้ใหญ่ตลอดเวลา ส่วนนางนวล น้องสาว วัย 78 ปี ป่วยเป็นโรคไตวายเรื้อรัง ต้องเข้ารับการฟอกไตอยู่เป็นประจำที่โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชปัว เดือนละ 2 ครั้ง ปกติทั้ง 2 พี่น้องจะเดินไปเยี่ยมเยือนกันไปมาพี่ไปเยี่ยมน้องน้องไปเยี่ยมพี่บ้าง ในวันที่เกิดเหตุ นางนวล น้องสาววัย 78 ปี ได้ไปฟอกไต ที่โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชปัว โดยไปรอคิวตั้งแต่ช่วงเช้ามืด จนทำการรักษาฟอกไตเสร็จสายๆ ใกล้เที่ยงจึงเดินทางกลับบ้านโดยมีลูกหลานไปรับไปส่ง หลังกลับมาจึงนอนหลับพักผ่อนด้วยอาการเพลียอยู่บริเวณโซฟาชั้นล่าง จนถึงเวลาประมาณ 13.00 น. นายสมบูรณ์ พี่ชายวัย 88 ปี ได้เดินออกจากบ้านที่อยู่ถัดกันไปสามหลัง มุ่งหน้าไปทางบ้านนางนวล น้องสาววัย 78 ปี ญาติๆ เข้าใจว่าคงไปเยี่ยมน้องสาวที่พึ่งไปรักษาฟอกไตที่พึ่งกลับมา จึงไม่ได้สนใจ เพราะเป็นปกติของพี่กับน้องคู่นี้อยู่แล้ว
จากนั้นชาวบ้านใกล้เคียงได้ยินเสียงนางนวล น้องสาววัย 78 ปี โอดอวยด้วยความเจ็บปวด และร้องขอความช่วยเหลือ จึงรีบออกไปดูพบนายสมบูรณ์ พี่ชายวัย 88 ปี เดินออกมาจากที่เกิดเหตุ และพูดว่า “งกดีนัก” พร้องทั้งเอามีดปลายแหลมเช็ดกางเกงและเดินออกไป จึงเข้าไปดูพบว่านางนวล น้องสาววัย 78 ปี นอนแน่นิ่งไปแล้ว จึงรีบโทรแจ้ง 191
ด้าน นายสมบูรณ์ วัย 88 ปี ผู้ก่อเหตุ ได้ให้การวกวนต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจว่า ก่อนมาฆ่าน้องสาวตนนอนหลับและฝันว่าผีญาติที่อยู่ป่าช้า (ป่าสุสาน) ได้มาเข้าฝันว่า จะเงียบจะยอมทำไมคนไม่ดี นางนวลเป็นคนไม่ดี เอาบ้านไป (บ้านหลังเดิมสมัยตอนเด็กหรือกว่า 50 ปีที่แล้ว ซึ่งปัจจุบันรื้อทำใหม่ คนก่อเหตุหลงลืมว่ากาลเวลาผ่านไปนานแล้ว) ไม่แบ่งให้ ให้ไปขอแบ่งเป็นเงิน 60,000 บาท หากไปได้ให้ฆ่านางนวลน้องสาว และลูกหลานทั้ง 3 คน ไม่อย่างงั้นผีป่าช้าจะมาเอาวิญญาณ หลังตื่นจึงนำมีดแล้วเดินไปหานางนวลน้องสาว ทวงถามเงิน ไม่ได้จึงได้ใช้มีดแทงจนนางนวลตาย เมื่อเจ้าหน้าที่ถามว่าไม่สงสารน้องสาวหรือ ผู้ก่อเหตุตอบว่าไม่ เพราะเป็นคนไม่ดี
ด้าน นางแก้ว นามสมมุติ บุตรสาว นายสมบูรณ์ ผู้ก่อเหตุ เล่าให้ฟังว่า ระหว่างทำงานอยู่พี่สาวที่อยู่กับพ่อได้โทรมา บอกว่า พ่อได้ฆ่าน้องสาวตาย จึงรีบเดินทางมาเยี่ยมพ่อ โดยครอบครัวทางพ่อพบว่าป่วยเป็นโรคอัลไซเมอร์หลายคน โดยนายสมบูรณ์ พ่อของตนป่วยเป็น โรคอัลไซเมอร์และรักษามานานหลายปีแล้ว ส่วนทางด้านงานศพอยู่ในระหว่างพูดคุยกันในหมู่ญาติ และดำเนินการรับศพหลังผ่าพิสูจน์แล้วในวันนี้ (กำหนดรับศพที่โรงพยาบาลน่าน เวลา 11.00 น. วันที่ 21/07/2566)
ทั้งนี้ ระหว่างผู้สื่อข่าวเดินทางไปติดตามเหตุการณ์ที่สถานีตำรวจภูธรปัว นายสมบูรณ์ ยังทักและยังเข้าใจว่า ผู้สื่อข่าวเป็นหลานของตน ถามถึงแม่ถึงพ่อ ซึ่งผู้สื่อข่าวไม่รู้จักกับนายสมบูรณ์หรือญาติๆ มาก่อน
ด้าน พล.ต.ต.ปิยะพันธ์ ภัทรพงศ์สินธุ์ ผู้บังคับการ ตำรวจภูธรจังหวัดน่าน กล่าวว่า สำหรับเหตุการณ์ดังกล่าว อาการของผู้ก่อเหตุมีอาการอัลไซเมอร์ จำอะไรไม่ค่อยได้ ก็ได้ใช้อาวุธมีดแทงผู้ที่เสียชีวิตจนถึงแก่ความตาย หลังเกิดเหตุเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ดำเนินการจับกุมตัวผู้กระทำความผิดมาดำเนินคดีตามกฏหมาย ซึ่งการที่ผู้ก่อเหตุจะเป็นอัลไซเมอร์หรือโรคต่างๆ นั้นก่อเหตุในขณะที่ปราศจากสติสัมปชัญญะนั้น ก็ต้องมีพยานหลักฐานต่างๆ ทั้งจากพยานแวดล้อม ผู้อยู่ใกล้เคียง รวมทั้งต้องตรวจสอบจากทางโรงพยาบาลว่าอาการของโรคดังกล่าวป่วยจริงหรือไม่ เพื่อจะได้นำมาเป็นหลักฐานเพื่อประกอบการดำเนินคดี เบื้องต้นทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้แจ้งข้อหา ฆ่าผู้อื่นตายโดยเจตนา ไว้ก่อน
ด้าน นพ.วรินทร์เทพ เชื้อสำราญ นายแพทย์สาธารณะสุขจังหวัดน่าน กล่าวว่า อาการแรกเริ่มที่สำคัญของผู้ป่วยอัลไซเมอร์คือการสูญเสียความจำระยะสั้น ซึ่งเป็นอาการที่ใกล้เคียงกับภาวะความจำเสื่อมตามธรรมชาติในผู้สูงอายุ แต่เมื่อเวลาผ่านไปผู้ป่วยร้อยละ 80-90 จะมีอาการทางพฤติกรรมหรือทางจิตเวชร่วมด้วย ซึ่งอาการทางพฤติกรรมนี่เองที่ทำให้การดูแลผู้ป่วยเป็นไปอย่างยากลำบากมากขึ้น โดยเฉพาะรายที่มีอาการก้าวร้าว อาจก่อให้เกิดอันตราย ทำร้ายตนเองหรือผู้อื่นได้
อาการทั่วไปของโรคอัลไซเมอร์อาจแบ่งคร่าวๆ ได้เป็นสามระยะ ได้แก่
ระยะแรก ผู้ป่วยจะมีความจำถดถอยจนตัวเองรู้สึกได้ ชอบถามซ้ำ พูดซ้ำๆ เรื่องเดิม สับสนทิศทาง เริ่มเครียด อารมณ์เสียง่ายและซึมเศร้า แต่ยังสื่อสารและทำกิจวัตรประจำวันได้ ระยะนี้เป็นระยะที่คนรอบข้างยังสามารถดูแลได้
ระยะกลาง ผู้ป่วยมีอาการชัดเจนขึ้น ความจำแย่ลงอีก เดินออกจากบ้านไปโดยไม่มีจุดหมาย พฤติกรรมเปลี่ยนไปมาก เช่น จากที่เป็นคนใจเย็นก็กลายเป็นหงุดหงิดฉุนเฉียว ก้าวร้าว พูดจาหยาบคาย หรือจากที่เป็นคนอารมณ์ร้อนก็กลับกลายเป็นเงียบขรึม และเมื่อเวลาผ่านไป ผู้ป่วยจะเริ่มมีปัญหาในการใช้ชีวิตประจำวัน เช่น ชงกาแฟไม่ได้ ใช้รีโมททีวีหรือโทรศัพท์มือถือไม่ได้ คิดอะไรที่ไม่ถูกต้อง ไม่อยู่ในโลกของความจริง เช่น คิดว่าจะมีคนมาฆ่า มาขโมยของ คิดว่าคู่สมรสนอกใจ ซึ่งเหล่านี้ล้วนเป็นอาการที่ยากต่อการดูแลและเข้าสังคม
ระยะท้าย ผู้ป่วยอาการแย่ลง ตอบสนองต่อสิ่งรอบข้างน้อยลง สุขภาพทรุดโทรมลงคล้ายผู้ป่วยติดเตียง รับประทานได้น้อยลง การเคลื่อนไหวน้อยลงหรือไม่เคลื่อนไหวเลย ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ สมองเสื่อมเป็นวงกว้าง ไม่พูดจา ภูมิคุ้มกันอ่อนแอซึ่งมักนำไปสู่การติดเชื้อและเสียชีวิตในที่สุด โดยระยะเวลาทั้งหมดตั้งแต่แรกวินิจฉัยจนเสียชีวิตเฉลี่ยประมาณ 8-10 ปี
ผู้ดูแลควรส่งเสริมให้ผู้ป่วยทำกิจกรรมร่วมกับครอบครัว พาออกไปเที่ยวนอกบ้านเป็นครั้งคราว หรือไปพบปะเพื่อน พร้อมดูแลช่วยเหลือให้ผู้ป่วยได้ออกกำลังกายตามสมควร และเพื่อให้การรักษาได้ผลดียิ่งขึ้น ผู้ดูแลควรสังเกตอาการที่ผิดปกติของผู้ป่วย บันทึกพฤติกรรม และแจ้งให้แพทย์ทราบเมื่อถึงเวลานัดตรวจโรค ดูแลเรื่องการทานยาให้ครบและสม่ำเสมอตามที่แพทย์สั่ง หากผู้ป่วยมีอาการผิดปกติควรรีบปรึกษาแพทย์ เช่น อาการนอนไม่หลับ วิตกกังวล หรือซึมเศร้ามากเกินไป พฤติกรรมเปลี่ยนแปลง ก้าวร้าว หลงผิด เป็นต้น
อย่างไรก็ตามไม่มีใครอยากเป็นโรคอัลไซเมอร์จึงควรดูแลตัวเองด้วยวิธีง่าย ๆ คือหมั่นบริหารสมอง เช่น อ่านหนังสือเป็นประจำ ดูแลสุขภาพจิตให้ดี และสำหรับผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป หรือผู้สูงอายุที่บ้านมีสัญญาณอาการดังกล่าว หรือข้อใดข้อหนึ่ง ควรเริ่มตรวจวินิจฉัยโรคอัลไซเมอร์ เพราะโรคนี้หากรู้เร็ว รักษาทัน ป้องกันภาวะอัลไซเมอร์ด้วยการปรึกษาแพทย์เฉพาะทางด้านสมอง
ประสิทธิ์ สองเมืองแก่น
โทร. 0848084888