“รองต่อ” อดีตตำรวจสันติบาล ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนเกี่ยวกับประเด็นข่าว 3 เรื่อง
วันพุธที่ 8 พ.ย.2566 เวลา 10.00 น.ที่โรงแรมแกรนด์เซ็นเตอร์ พอยท์ เพลินจิต ถนนวิทยุ แขวงลุมพินี เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร นายสันธนะ ประยูรรัตน์ หรือรองต่อ อดีตตำรวจสันติบาล เปิดห้องแถลงข่าว ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนเกี่ยวกับประเด็นข่าว 3 เรื่องดังนี้
- กรณี “ส่วยข้ามชาติ” ที่ อ.แม่สอด จ.ตาก
- กรณี “ศึกสายเลือด” ตำรวจกับฝ่ายปกครองในการตรวจค้นจับกุมบ่อนการพนันและสถานบริการ
- กรณี “การดำเนินคดีทางอาญากับนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์”
กรณีที่ 1 “สันธนะ” เผย 10 ตำรวจรับส่วยข้ามชาติ เกิดจากการแต่งตั้ง “ตั้งก่อนผ่อนทีหลัง”
นายสันธนะ ประยูรรัตน์ อดีตตำรวจสันติบาล กล่าวถึงข่าวกรณีตำรวจ 10 นาย เรียกรับส่วยข้ามชาติ ที่ อ.แม่สอด จ.ตาก โดยระบุว่าการเรียกรับส่วยมีมานานแล้วโดยเฉพาะในช่วงที่มีการแต่งตั้งโยกย้ายนายพลตำรวจวาระประจำปี 2566 เมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา แม้นายกรัฐมนตรี และผบ.ตร. จะมีนโยบายชัดเจนว่าห้ามมีการซื้อขายตำแหน่ง แต่ก็มีนโยบายทดแทนคือแต่งตั้งก่อนผ่อนทีหลัง โดยหลังการแต่งตั้งนายพลเล็กระดับ รองผบช.- ผบก. ตนเองได้นำเอกหลักฐานเกี่ยวกับการรับส่วยจากธุรกิจสีเทา สภานบันเทิง และการพนันรวมกว่า 20 หน่วยงาน ซึ่งแต่ละเดือนมีการเรียกรับส่วยจากหน่วยงานต่างๆเป็นจำนวนเงินหลายล้านบาท
ส่วนการรับส่วยข้ามชาตินั้น ตนเองเคยลงพื้นที่ในช่วงที่มีการก่อสร้างบ่อนคาสิโนและหลังมีการก่อสร้างแล้วเสร็จมีการเปิดบริการ การเก็บส่วยก็เริ่มเกิดขึ้น เช่น การนำคนเข้าประเทศตามช่องทางธรรมชาติที่มีการเก็บหัวละ 1,500-2,000 บาทต่อคนต่อครั้ง เมื่อมีการแต่งตั้งตั้งแต่ระดับกองบัญชาการจนถึงผกก.โรงพักในพื้นที่ ผู้ที่เข้ามาทำหน้าที่ก็ต้องสนองนโยบายตั้งก่อนผ่อนทีหลัง ซึ่งจะจ่ายกันแบบรายเดือนจึงต้องมียอดที่จะต้องจัดส่ง ตนไม่อยากไปกล่าวหานายตำรวจระดับสูง จึงถามไปยังนายกรัฐมนตรีว่าใครเป็นคนรับทุกเดือนใช่ฝ่ายการเมืองหรือไม่
“นายกรัฐมนตรีจึงต้องไปตรวจสอบเรื่องดังกล่าวเพราะมีการเรียกเก็บจริง โดยมีนายฟิกส์ (นามสมมุติ) เป็นคนเดินตั๋วรับเงิน โดยฝั่งชาติพันธุ์มีการจ่ายให้หน่วยงานต่างๆอยู่แล้วเดือนละ 200,000 บาท แต่คนที่ไปเก็บเป็นมือดีคงไปขึ้นราคา จนทำให้เกิดความไม่พอใจและประกาศปิดพรมแดน จึงเห็นว่าเรื่องแบบนี้สำนักงานตำรวจแห่งชาติอย่าทำอีกเลย ส่วนตำรวจที่ยังทำอยู่ควรมีมาตรการทางการปกครองเพื่อไม่ให้เกิดการกระทำดังกล่าวอีก” นายสันธนะฯ กล่าว
กรณีที่ 2 “สันธนะ” ชี้ ตร.-ปกครอง เปิดศึกเอาคืนกันไปมาขัดแย้งเรื่องส่วย
นายสันธนะฯ เปิดเผยถึงประเด็นเรื่องศึกสายเลือดระหว่างตำรวจกับฝ่ายปกครองว่า ปัญหามาจากนโยบายการบริหารที่ไม่ชัดเจน โดยไล่เรียงข้อสงสัยเรื่องความขัดแย้งของสองหน่วยงานจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นลักษณะการจับกุมแต่ละครั้งเหมือนเป็นการเอาคืนกันไปมา โดยเฉพาะหลังจากนั้นวันที่ 25 ตุลาคม มีคำสั่งให้ปลัดกระทรวงมหาดไทย Kick off ให้เจ้าหน้าที่ตั้งชุดเฉพาะกิจจัดระเบียบทุกพื้นที่ทั้งนครบาลและระดับจังหวัด สิ่งเริ่มปฏิบัติการได้ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน และปรากฏว่าในคืนวันเดียวกัน ฝ่ายปกครองได้มีการจับสถานบันเทิงในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ และต่อมาคืนวันที่ 3 พฤศจิกายน ตำรวจและเจ้าหน้าที่ชุดป้องกันปราบปราม สภ.ช้างเผือก บุกจับร้าน Level 9 พบกลุ่มเจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการพิเศษกรมการปกครอง ซึ่งตัวเองมองว่าปฏิบัติการที่ผ่านมาของทั้งตำรวจและฝ่ายปกครองเหมือนเป็นการเอาคืนกันไปมา ประกอบกับที่ผ่านมาเมื่อตัวเองมีข้อมูลเรื่องบ่อนการพนัน และได้มีการแจ้งข้อมูลกับทางเจ้าหน้าที่ ไปทั้งหมด แต่ก็พบว่า ไม่มีการจับกุมใดใด ซึ่งเชื่อได้ว่าเป็นเพราะมีการจ่ายส่วยให้เจ้าหน้าที่ยกตัวอย่าง เช่น บ่อนการพนันแห่งหนึ่งในพื้นที่ท่ามะกา จ.กาญจนบุรี ก็ยังคงเปิดให้เล่นเป็นปกติทั้งที่ตัวเองแจ้งเรื่องหลายครั้ง จึงเกิดความเข้าใจได้ว่า ปฎิบัติการของตำรวจและปกครองทั้งสองฝ่าย อาจมีความขัดแย้งกันเรื่องส่วยที่ต่างฝ่ายต่างดูแลอยู่ด้วย
นายสันธนะฯ บอกว่า ที่ตัวเองออกมาพูดเรื่องนี้ไม่ได้เอื้อประโยชน์ให้ตำรวจและฝ่ายปกครองจับมือกันเพื่อเก็บส่วยได้ง่ายขึ้น แต่เพียงกังวลว่าการทำงานร่วมกันในอนาคตอาจมีการปะทะ กันเอง พร้อมเสนอว่าเรื่องนี้นายกรัฐมนตรีควรออกมาแก้ปัญหาโดยเร็ว แต่ส่วนตัวก็เชื่อว่านายกฯ ทำไม่ได้เพราะไม่ได้มีอำนาจในการต่อรอง
กรณีที่ 3 “สันธนะ” ไม่อโหสิกรรม “ชูวิทย์” เผยเก็บความแค้นมากว่า 20 ปี ท้า รักษาอาการป่วยให้เร็วๆ แล้วกลับมาปะทะกันใหม่
นายสันธนะฯ ระบุว่า กรณี นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ คู่ปรับเก่าว่า เมื่อช่วงต้นเดือนที่ผ่านมา มีบุคคลปริศนาได้โทรศัพท์เข้ามาหาตน เป็นอดีตตำรวจ ยศพลตำรวจโท เป็นรุ่นน้องของตน ในการสนทนาฝ่ายนั้นระบุว่านายชูวิทย์ฯ ให้โทรหาตน ขอให้ตนกับชูวิทย์ฯ เลิกแล้วต่อกันได้หรือไม่ ซึ่งตนมองว่า ตอนนายชูวิทย์ฯ พูดถึงตนเองประกาศให้รู้ทั่วประเทศ แต่ตอนขอจบ มาพูดกันแค่ 2 คนหรือส่วนตัวไม่ทราบว่าขณะอีกฝ่ายพูดอยู่นั้น ได้เปิดโทรศัพท์ฟังด้วยกันกับนายชูวิทย์ฯ หรือไม่
นายสันธนะฯ ตั้งข้อสงสัยว่า การที่โทรศัพย์มาเคลียร์ เนื่องจากมีคดีที่นายชูวิทย์ฯ ถูกอัยการนำตัวไปฟ้องที่ศาล ซึ่งหากไม่ไปจะถูกออกหมายจับ และจะไม่สามารถเดินทางออกนอกประเทศได้ ซึ่งเป็นคดีที่นายชูวิทย์ฯ พยายามปิดสื่อ ซึ่งตนเองกับนายชูวิทย์ฯ ได้มีการคุยกันวันนั้นแล้ว ซึ่งตนไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธ แต่คิดว่าตัวนายชูวิทย์ฯ ทราบดีอยู่แล้ว
นายสันธนะฯ กล่าวอีกว่า ใครจะมารู้จักชูวิทย์ฯ ดีเท่ากับตน ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาตนมีความสัมพันธ์รู้จักกันดีมาตลอด ตั้งแต่นายชูวิทย์ฯ เปิดสถานบริการ ตนรู้เรื่องนายชูวิทย์ฯ ทั้งหมด ที่ตนพูดไม่ใช่การกล่าวหา แต่ที่ผ่านมานายชูวิทย์ฯ ให้ข่าวว่าไม่รู้จักตนและพูดถึงตนไม่ดีต่อหน้าสื่อมาตลอด ซึ่งตนเองก็ทนฟังมาตลอด ไม่ได้โต้ตอบอะไร และในเหตุการณ์ในช่วง 1 ปีที่เกิดขึ้น นายชูวิทย์ฯ ทำอะไรโดยไม่คิด แต่วันนี้จะมาขอจะเอาอะไร นายสันธนะฯ ยังกล่าวอีกว่า เรื่องของนายชูวิทย์ฯ กับตน หากตนบอกว่าตนยอม ก็เหมือนตนหลอกสื่อ แต่หากจะให้ตนพูดว่ายอม ตนขอยอมไม่หล่อ ไม่เท่ ไม่อโหสิกรรม
นายสันธนะฯ กล่าวทิ้งท้ายว่า นายชูวิทย์ฯ จะใกล้ตายหรือไม่ ตนเองไม่ทราบ เห็นนั่งวิลแชร์ทำหน้าจ๋อย แต่ส่วนตัวก็ยังไม่เชื่อ ดังนั้นหากถามถึงวันนี้และหลังจากนี้ ไม่ต้องถามตนอีกแล้ว บอกได้เพียงว่า ธรรมชาติกำลังจะลงโทษเขา หากถามมากกว่านั้น ก็จะบอกว่าอยากให้สิ่งที่ไม่เป็นธรรมชาติลงโทษ พร้อมระบุ ตนเองไม่มีอะไรจะพูดถึงนายชูวิทย์ฯ อีกแล้ว ถ้าจะต้องการคำอวยพร ก็อวยพรได้ ขอให้ชูวิทย์ฯ ลุกขึ้นจากเก้าอี้วิลแชร์ให้เร็วที่สุดแล้วกลับมาปะทะกันอีก ตนคอยอยู่ พร้อมทิ้งท้ายว่า “ผมไม่ได้บอกว่าผมเป็นคนดี แต่ผมไม่ได้เลวเท่าเขา”
สุรเชษฐ ศิลานนท์ รายงาน