พว. ร่วมกับ มหาวิทยาลัยสวนดุสิต จัดเสวนา ยุบกระทรวงศึกษาธิการ
เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ.2567 สถาบันพัฒนาคุณภาพวิชาการ(พว.) ร่วมกับมหาวิทยาลัยสวนดุสิต จัดงานเสวนาเรื่อง “ประสิทธิภาพประสิทธิผลในการบริหารจัดการศึกษาให้เด็กไทยทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก” ณ ห้อง 201 อาคาร ดร.ศิโรจน์ ผลพันธิน มหาวิทยาลัยสวนดุสิต โดยมีผู้เข้าร่วมเสวนาคือ
- ดร.ศักดิ์สิน โรจน์สราญรมย์ ประธานกรรมการบริหารสถาบันพัฒนาคุณภาพวิชาการ (พว.)
- นายเสน่ห์ ขาวโต อดีตผู้ตรวจราชการกระทรวงศึกษาธิการ
- ดร.ดนัย เทียนพุฒ นักวิชาการผู้ทรงคุณวุฒิ
- ดร.อุดมธิปก ไพรเกษตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ดีบีซี กรุ๊ป จำกัด
- อาจารย์ชาตรี ลดาลลิตสกุล หัวหน้าทีมออกแบบอาคารรัฐสภา ศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์
- ดร.วีระ แข็งกสิการ ผู้ตรวจราชการกระทรวงศึกษาธิการ
- ผศ.ดร.ผดุง พรมมูล ที่ปรึกษาอธิการบดี มหาวิทยาลัยสวนดุสิต
- ดร.สมใจ วิเศษทักษิณ ผู้ตรวจราชการกระทรวงศึกษาธิการ
- นายสมเกียรติ ผ่องจิต ผู้อำนวยการโรงเรียนโยธินบูรณะ
- นางสาวนงกรานต์ บรรเจิดธีรกุล ผู้อำนวยการโรงเรียนมัธยมดุสิตาราม
- ผศ.พิชญ์สินี พุทธิทวีศรี อาจารย์ประจำคณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยสวนดุสิต
- ผศ.ดร.ศุภศิริ บุญประเวศ ประธานหลักสูตรศิลปศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาภาษาและการสื่อสาร คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยสวนดุสิต
จากการจัดกิจกรรมเสวนาในครั้งที่ผ่านมา เมื่อวันที่ 22 เมษายน 2567 ได้มีข้อเสนอแนะและข้อสรุป ให้ยุบกระทรวงศึกษาธิการ ด้วย “การปรับเปลี่ยนบทบาทของกระทรวงฯ” ให้
1) การมุ่งเน้นการให้บริการ
2) ลดความเหลื่อมล้ำ เพื่อให้ผู้เรียนเข้าถึงการศึกษาอย่างทั่วถึง
3) ปรับเปลี่ยนโครงสร้างการบริหาร เพื่อให้สามารถบริหารจัดการองค์กรให้ครอบคลุมทุกภาคส่วนที่จัดการศึกษา ปัญหาที่เกิดขึ้นอีกประการหนึ่งคือ การเชื่อมโยงการศึกษาซึ่งปัจจุบันขาดองค์กรด้านนี้ทำให้พบว่าต่างคนต่างคิด ต่างคนต่างทำ อาจมีการตั้งสำนักงานภาค สภาการศึกษาจังหวัด “การสร้าง และขับเคลื่อนแนวทางต่างๆร่วมกัน” เพื่อให้ผู้เรียนที่อยากเรียนได้เรียนในสิ่งที่ตนเองต้องการ รวมทั้งต้องหาแนวทางต่างๆเพื่อ “ลดภาระของผู้ปกครอง/ครู”
โดยการเสวนาเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2567 ได้มีการต่อยอดแนวคิดดังกล่าวสู่การเสวนาเพื่อนำไปสู่ประสิทธิภาพประสิทธิผลในการบริหารจัดการศึกษาให้เด็กไทยทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก โดยมีแนวทางคือ
1.ด้านโครงสร้างการบริหารจัดการ
1.1 ออกแบบ/ปรับปรุงโครงสร้างเพื่อให้คนในพื้นที่ได้เห็นว่า การศึกษาเป็นเรื่องที่สำคัญ
1.2 สร้าง “สถาบันการบริหารหลักสูตรและจัดการเรียนรู้”ให้มุ่งเน้นการสอน “วิธีการคิด” และ “การคิดเชิงตรรกะ” (Logic) ให้มากขึ้น
2.ด้านการออกแบบการเรียนรู้
2.1 ประยุกต์แนวทางทางธุรกิจสู่การพัฒนาคนทางการศึกษา เรียนรู้แนวทางการพัฒนาคนจากภาคธุรกิจเพื่อนำมาสู่การพัฒนาการศึกษาด้วยแนวทางที่หลากหลาย
2.2 ทบทวนสมรรถนะที่ต้องมีในผู้เรียนปัจจุบันเพื่อให้สามารถพัฒนาคนสู่การพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศได้อย่างแท้จริง
2.3 ออกแบบการเรียนรู้/พัฒนาผู้เรียนเฉพาะทางให้เหมาะสมกับผู้เรียนรายบุคคล
2.4 สร้างความร่วมมือ ของผู้ปกครอง ครู นักเรียน ถ้าผู้ปกครองมองเห็นเป้าหมายชัด
2.5 การประเมินผลการเรียนรู้ของนักเรียน ควรใช้นวัตกรรม/ผลงานของผู้เรียนเป็นหลัก
3.ด้านการบริหารงานบุคคล
3.1 พัฒนาครูให้สามารถโลกที่เปลี่ยนแปลง ครูต้องสามารถจัดการเรียนรู้ที่หลากหลาย
3.2 การขึ้นสู่ตำแหน่งที่สูงขึ้น ควรใช้ผลงานของผู้เรียนเป็นหลัก มากกว่าการทำเอกสารต่างๆ
3.3 การจูงใจคนเก่งเข้าสู่วิชาชีพครู ซึ่งต้องการพื้นที่ในการได้คิดได้ทำในแนวทางให้เหมาะสม
บทสรุป (Conclusion)
การบริหารจัดการศึกษาให้เด็กไทยทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลกต้องเริ่มจากการทบทวนสภาพจริงที่เกิดขึ้นของประเทศและการจัดการศึกษา โดยผู้กำหนดนโยบาย/ผู้บริหารจะต้องเข้าใจสภาพการณ์ที่เกิดขึ้นและสภาพการณ์แข่งขันของประเทศอย่างแท้จริง ไม่ใช่เพียงเป็นผู้รู้ทฤษฎีและนำไปใช้ ต่อมาควรเรียนรู้ทิศทางสภาพการณ์ของโลก การจัดการศึกษาของต่างประเทศ/แนวทางการพัฒนาคนในภาคธุรกิจเพื่อให้สามารถพัฒนาผู้เรียนได้เท่าทันต่อการเปลี่ยนแปลง ท้ายสุดแนวทางการพัฒนาการบริหารจัดการศึกษาให้สามารถบรรลุได้ตามเป้าหมายคือเด็กไทยทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลกนั้น ต้องปรับโครงสร้าง สร้างการเชื่อมโยง ประยุกต์แนวทางทางธุรกิจ และทบทวนสมรรถนะที่ต้องมีในผู้เรียนปัจจุบัน แต่ถึงอย่างไรก็ตามสิ่งที่สำคัญที่สุดนอกเหนือไปจากนโยบาย/แนวทางที่ดี คือ “ศักยภาพครู”ที่จะพัฒนาผู้เรียน (วิชาชีพ/วิชาชีวิต) ให้มีความสามารถ มีประสิทธิภาพ และสามารถต่อยอดความรู้สู่การใช้ชีวิตภายใต้โลกที่เปลี่ยนแปลงได้
สุรเชษฐ ศิลานนท์ รายงาน