มหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติ ร่วมกับ สมาคมส่งเสริมสุขภาพและโยคะฟลายไทย ลงนาม MOU มุ่งเน้นพัฒนา-ความร่วมมือสู่ความเป็นเลิศ
เมื่อวันอังคารที่ 11 มิถุนายน 2567 เวลา 11.00 น. ณ ห้องประชุมพลบดี ๑ อาคารสำนักงานอธิการบดี มหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติ ได้ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติ และ สมาคมส่งเสริมสุขภาพและโยคะฟลายไทย โดยมีนายวิษณุ ไล่ชะพิษ ปฏิบัติหน้าที่อธิการบดีมหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติ, ผู้ช่วยศาสตราจารย์ นิกร สีแล รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติ พร้อมด้วย พันเอกปรีฎก ทองวันดี นายกสมาคมส่งเสริมสุขภาพและโยคะฟลายไทย, นางสาวภัทรภัสสร์ ภัทรศิลป์วีรกุล กรรมการและเลขาธิกาสมาคมส่งเสริมสุขภาพและโยคะฟลายไทย, ดร.สันติ ป่าหวาย หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ร่วมกันเป็นสักขีพยานในการลงนามในครั้งนี้
สำหรับโครงการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติ และ สมาคมส่งเสริมสุขภาพและโยคะฟลายไทยในครั้งนี้ เพื่อเป็นการดำเนินงานในการพัฒนาทางด้านวิชาการ และความร่วมมือสู่ความเป็นเลิศเพื่อส่งเสริมสุขภาพที่ดีของการออกกำลังกายด้วยโยคะฟลายไทย
โดยนายวิษณุ ไล่ชะพิษ ปฏิบัติหน้าที่อธิการบดีมหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติ กล่าวว่า ในนามของมหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติ ในการลงนาม MOU ครั้งนี้เป็นเรื่องที่น่ายินดี และเป็นบทบาทใหม่ของการกีฬาแห่งชาติ ซึ่งเป็นภารกิจที่เราที่ต้องพัฒนาหลักสูตรการเรียนการสอนต่างๆ ในสถาบันการศึกษา เราหวังว่าในอนาคตจะมีคนมาออกกำลังกายโยคะ กันอย่างมาก เพื่อสุขภาพ ที่ดี มหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติ ก็เน้นในการบริการสังคมและชุมชน เป็นอีกหนึ่งภารกิจที่เราต้องทำ เพื่อสร้างบุคลากรในอนาคตให้กับประเทศชาติ จึงเป็นภารกิจหลักในการลงนามข้อตกลงในครั้งนี้ ขอขอบคุณ สมาคมส่งเสริมสุขภาพและโยคะฟลายไทย ที่มาร่วมมือกับมหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติครั้งนี้ ในการที่จะพัฒนาศักยภาพด้านสุขภาพให้แข็งแรง ด้วยโยคะ และสามารถต่อยอดนำไปประกอบเป็นวิชาอาชีพในอนาคต
ขณะที่ พันเอกปรีฎก ทองวันดี นายกสมาคมส่งเสริมสุขภาพและโยคะฟลายไทย กล่าวว่า ในวันนี้เรามีความคาดหวังอย่างมากที่จะนำสมาคมส่งเสริมสุขภาพและโยคะฟลายไทย เข้าไปมีส่วนร่วมในมหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติ สมาคมนี้เป็นสมาคมส่งเสริมสุขภาพและโยคะฟลายไทย เป็นสมาคมน้องใหม่ ยังไม่เป็นที่นิยมมากนัก เราจะทำอย่างไรให้การส่งเสริมสุขภาพด้วยโยคะ แพร่หลายและเป็นที่นิยมของนักเรียน นักศึกษาและประชาชน เราจึงจำเป็นที่จะต้องเข้าไปในวงการการศึกษา อย่าง มหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติ ที่มีทั้งการศึกษาในระดับมัธยม และ อุดมศึกษา นั่นคือการต่อยอดองค์ความรู้ ซึ่งจะต่อยอดสู่การพัฒนาบุคคลากรในอนาคต
นอกจากนั้น สิ่งที่สำคัญอย่างมาก คือ เราจะเน้นพัฒนาหลักสูตรการเรียน การสอน เป็นหลักสูตรส่งเสริมสุขภาพด้วย โยคะ ทางเลือกในหลักสูตรของวิชาพลศึกษา หรือวิทยาศาสตร์การกีฬา และศิลปศาสตร์ต่างๆที่ทางมหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติมี และเราจะต้องพัฒนาในตัวบุคลากรด้วย เพื่อที่ในอนาคตเราจะได้มีบุคลากรที่มีศักยภาพอยู่ตามสถานศึกษาต่างๆ รวมไปถึงการมาเป็นผู้ฝึกสอน เราจึงเห็นว่าโรงเรียนกีฬาและมหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติ จะเป็นแหล่งสำคัญในการผลิตบุคลากร และจะพัฒนาได้อย่างยั่งยืนต่อไปในอนาคต