สายตรวจ สน.บางซื่อ รวบตัวนายทวาสินฯ พกพาอาวุธปืนไทยประดิษฐ์ 2 กระบอก พร้อมเครื่องกระสุนปืน จำนวนหนึ่ง ได้ในขนส่งหมอชิต2
วันที่ 18 มิ.ย.2567 ภายใต้การอำนวยการของ พ.ต.อ.ภูวดล อุ่นโพธิ ผกก.สน.บางซื่อ ได้มอบหมายให้ จนท.ตร.ชุดจับกุม นำโดย พ.ต.ท.วรภัทร สุขไทย รอง ผกก.ป.สน.บางซื่อ, พ.ต.ท. ชัยวัฒน์ พริ้งสกุล รองผกก.สอบสวน สน.บางซื่อ พร้อมเจ้าหน้าฝ่ายป้องกันและปราบปราม ได้ทำการจับกุมผู้ต้องหา คือ นายทวาสิน พันธุ์ดี อายุ 60 ปี ที่อยู่ 35 หมู่ที่ 11 ต.บ้านเวียง อ.ร้องกวาง จ.แพร่ พร้อมด้วยของกลาง อาวุธปืนไทยประดิษฐ์ 2 กระบอก, กระสุนปืนขนาด .380 จำนวน 49 นัด, กระสุนปืนขนาด .32 จำนวน 4 นัด, กระสุนปืนขนาด .22 จำนวน 21 นัด
โดยกล่าวหาว่ากระทำความผิดฐาน “มีอาวุธปืน (ปืนไทยประดิษฐ์) และเครื่องกระสุนปืนไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต,พกพาอาวุธปืนไปในเมืองหมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุอันควร” ผู้ต้องหาได้รับทราบสิทธิตามกฎหมาย ดังนี้ มีสิทธิจะให้การหรือไม่ให้การก็ได้และถ้อยคำของผู้ถูกจับอาจใช้เป็นพยานหลักฐานในการพิจารณาคดีได้,มีสิทธิพบและปรึกษาทนายความหรือผู้ซึ่งจะเป็นทนายความ,แจ้งให้ญาติหรือผู้ซึ่งตนไว้วางใจทราบถึงการจับกุม
พฤติการณ์แห่งการจับกุม กล่าวคือ ตามวันเวลาสถานที่เกิดเหตุ เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมได้ออกตรวจพื้นที่ บริเวณภายในขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพ (หมอชิต) แขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ พบนายทวาสิน พันธุ์ดี (ทราบชื่อ-นามสกุลจริงภายหลัง) ยืนอยู่บริเวณดังกล่าวท่าทางมีพิรุธและมีเหตุอันควรต้องสงสัยเหมือนกับมีสิ่งของผิดกฎหมายซุกซ่อนอยู่ เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมจึงแสดงตัวเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อขอทำการตรวจสอบและตรวจค้น จึงได้พาตัวนายทวาสินฯ เข้าตรวจเครื่องสแกนโลหะ พบวัตถุต้องสงสัยลักษณะคล้ายอาวุธปืนไทยประดิษฐ์ จึงทำการตรวจค้น โดยก่อนการตรวจค้นเจ้าหน้าที่ตำรวจได้แสดงความบริสุทธิ์ใจจนเป็นที่พอใจแก่นายทวาสินฯ
ผลการตรวจค้นของเจ้าหน้าที่ชุดจับกุม พบอาวุธปืนไทยประดิษฐ์ ซุกซ่อนอยู่ในกระเป๋าเดินทางสีดำที่นายทวาสินฯ ถืออยู่ ขณะตรวจค้นเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมอาวุธปืนไทยประดิษฐ์ดังกล่าวไว้เป็นของกลางสอบถามนายทวาสินฯ ยอมรับว่าอาวุธปืนไทยประดิษฐ์ของกลางดังกล่าวได้มาจากนายตั้ม ต.บางรักน้อย อ.เมือง จ.นนทบุรี เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมแจ้งข้อกล่าวหาและสิทธิให้ผู้ต้องหาทราบ จับกุมตัวผู้ต้องหาพร้อมของกลางส่งพนักงานสอบสวน สน.บางซื่อ เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
สุรเชษฐ ศิลานนท์ รายงาน