ผู้ช่วย ผบ.ตร.ประชุมร่วมไทย-ลาว ประสานความร่วมมือแก้ไขปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ เตรียมศึกษาแนวทางตั้งคณะทำงานร่วม เพิ่มประสิทธิภาพในการปราบปรามให้ได้ผลอย่างจริงจัง
วันนี้ (15 สิงหาคม 2567) เวลา 15.30 น. พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ/ผู้อำนวยการศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร./ผอ.ศปอส.ตร.) มอบหมายให้ พล.ต.ท.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร ผู้ช่วย ผบ.ตร./รอง ผอ.ศปอส.ตร. ลงพื้นที่ สภ.เชียงแสน จ.เชียงราย เพื่อประชุมบูรณาการร่วมหน่วยงานความมั่นคงชายแดน แก้ไขปัญหาอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ไทย-ลาว-เขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ โดยมี พล.ต.ต.อรรถสิทธิ์ สุดสงวน รอง ผบช.สอท. , พล.ต.ต.วีระชน บุญทวี รอง ผบช.ภ.5, พล.ต.ต.ธนะรัชต์ ชุ่มสวัสดิ์ รอง ผบช.ประจำฯ ช่วยราชการ ภ.5, พล.ต.ต.จิตติพนธ์ ผลพฤกษา ผบก.สอท.4 พร้อมด้วย นายบัลลังก์ ไวทย์ศิริ ปลัดจังหวัดเชียงราย, นายคฑาสิทธิ์ เนื่องหล้า นายอำเภอเชียงแสน, นายวุฒิเลิศ ชนะหาญ ผอ.สำนักงาน กสทช.เขต 34, คณะเมืองต้นผึ้ง สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว นำโดย ท่านคำเพ็ง กุมพัน หัวหน้าห้องว่าการเมืองต้นผึ้ง และผู้แทนหน่วยงานความมั่นคงระหว่างประเทศไทย และสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว เข้าร่วมประชุม
พล.ต.ท.ธัชชัยฯ กล่าวว่า ที่ประชุมได้เห็นชอบความร่วมมือในการปราบปรามแก๊งคอลเซ็น เตอร์ ระหว่างประเทศไทย-ลาว โดยทางการลาวจะไม่ให้มีการตั้งแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในเขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำอีกต่อไป โดยกำหนดเดดไลน์ในวันที่ 25 สิงหาคม 2567 หลังจากนั้นหากตรวจพบจะมีการดำเนินคดีอย่างเฉียบขาด นอกจากนี้ เพื่อให้มีการแก้ไขปัญหาอย่างต่อเนื่อง ไทยและลาวจะได้มีการไปศึกษาและกำหนดแนวทางในการตั้งคณะทำงานร่วมกัน โดยเป็นคณะทำงานปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ตามแนวตะเข็บชายแดนระหว่างไทย-ลาว ซึ่งในส่วนของไทย ได้มอบหมายให้กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) ร่วมกับตำรวจภูธรภาค 5 ในการศึกษาและร่วมกันในการจัดตั้งคณะทำงานร่วมฯ ไทย-ลาว ในการร่วมกันแก้ไขปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์อย่างต่อเนื่องและเด็ดขาดต่อไป
นอกจากนี้ พล.ต.ท.ธัชชัยฯ กล่าวว่า จากการที่ประเทศไทยดำเนินการเข้มงวดเรื่องการตัดสัญญาณซิม สาย เสา ที่ผ่านมา พบว่าในช่วงหลังคนร้ายเริ่มใช้สัญญาณโทรศัพท์จากประเทศเพื่อนบ้านโทรเข้ามา โดยสังเกตได้ว่าจะเป็นหมายเลข +697 หรือ +698 และมีหมายเลขโทรศัพท์หลายตัว หรือโทรศัพท์เข้ามาแล้วอ้างเป็นแพลตฟอร์มต่างๆ ในส่วนนี้เป็นสัญญาณอย่างหนึ่งที่ทำให้เห็นว่า แก๊งคอลเซ็นเตอร์ไม่สามารถใช้สัญญาณโทรศัพท์ของประเทศไทยได้อย่างที่เคยทำมา และในช่วง 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมา พบว่าแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่ตั้งอยู่ในประเทศกัมพูชา เริ่มย้ายมาตั้งในประเทศไทย ซึ่งตำรวจไทยสามารถดำเนินการได้อย่างเด็ดขาด และมีการจับกุมไปแล้วที่ อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี ที่ผ่านมา
นที มีเดช รายงาน