หลวงพี่น้ำฝน แจ้งเรื่องด่วน ปิดตำนานพระปีนเสา เจ้าอาวาสสั่งขับพ้นวัดสามชุกกลายเป็นพระเถื่อนแล้ว
ร้อนแรงรับคืนวันเพ็ญ หลวงพี่น้ำฝน แจ้งเรื่องด่วน พระปีนเสาถูกสั่งขับพ้นวัดสามชุกแล้ว เอกสารระบุเจ้าอาวาสให้โอกาสแล้วแต่ยังไม่สะทกสะท้านกับคำสั่ง เผยทีมพระวินยาธิการพร้อมตามตัว ทำการสอบสวนเพื่อทำการจับสึกออกจากผ้าเหลือ เน้นย้ำขณะนี้ทีมพระวินยาธิการ จัดทีมเตรียมติดตามตัว โดยญาติโยมประชาชนทั่วไปแจ้งตรงมาที่วัดไผ่ล้อมหรือสำนักงานพระพุทธศาสนาทั่วประเทศ ขณะที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติเตรียมออกหนังสือเวียนทั่วประเทศเรื่องพฤติกรรมของพระปีนเสา ซึ่งถูกขับพ้นสังกัดเป็นพระเถื่อนแล้ว
เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2567 พระครูปลัดสิทธิวัฒน์ (หลวงพี่น้ำฝน) เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม อ.เมือง จ.นครปฐม ได้แจ้งเรื่องด่วนซึ่งเป็นเอกสารสำคัญ ในการสั่งให้พระครูปลัดธีรธนัช เมตตฺตธมฺโม สังกัดวัดสามชุก จังหวัดสุพรรณบุรี ให้พ้นจากสังกัดวัดสามชุก มีผล วันที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ.2567 หลังจากมีการประกาศหาตัวตั้งแต่เมื่อวานแต่ยังไม่มีใครแจ้งว่าเจ้าตัวยังสังกัดอยู่ที่วัดสามชุกตามที่ได้เคยมีการรับปากและไปรายงานตัวแล้ว
หลวงพี่น้ำฝน เจ้าอาวาวัดไผ่ล้อม ในฐานะประธานพระวินยาธิการ คณะภาค 14 เผยว่าวันนี้ได้รับหนังสือซึ่งเป็นเอกสารสำคัญ ที่ 83/2567 วันที่ 15 พฤศจิกายน 2567 จากวัดสามชุก ตำบลสามชุก อำเภอสามชุก จังหวัดสุพรรณบุรี ลงนามโดยพระครูสุวรรณวิจิตร เจ้าอาวาสวัดสามชุก ซึ่งเอกสารดังกล่าวถือว่าพระครูปลัดธีระฯ จะกลายเป็นพระไร้สังกัดทันที ซึ่งต้องมีการติดตามตัวให้มาทำการสอบสวนจากหลายฝ่ายและทำการสึกให้จบกระบวนการทางกฎหมาย
หลวงพี่น้ำฝน เผยว่า อาตมาได้รับหนังสือดังกล่าวมาจากพระวินยาธิการจังหวัดสุพรรณบุรี ซึ่งในหนังสือก็ได้มีการระบุชัดเจนว่าท่านเจ้าอาวาสวัดสามชุก ได้มีความเอือมระอากับพฤติกรรมของพระครูปลัดธีระฯ และการที่มีหนังสือสั่งการออกมาเช่นนี้ก็เกิดจากการทำงานเต็มที่ของคณะพระวินยาธิการ ที่ทำงานร่วมกันและทางพระปลัดธีระฯ จะมาอ้างอีกว่าเป็นเอกสารปลอมไม่ได้เพราะอาตมาได้รับหนังสือ มาจากคณะสงฆ์จังหวัดสุพรรณบุรี ซึ่งขณะนี้ก็ได้ทราบข้อมูลจากท่านอินทราพร จั่นเอี่ยม ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ว่าจะมีการออกหนังสือเวียนไปยังวัดทั่วประเทศเกี่ยวกับการติดตามตัวและการรับพระเข้าสังกัดในเรื่องนี้แล้ว ซึ่งหากพบตัวที่ใดก็จะต้องมีการเรียกตัวมาสอบสวนได้ทันที
“ครั้งนี้จะถือเป็นครั้งแรกที่เป็นการติดตามพระที่ปฏิบัติไม่เหมาะสมอย่างชัดเจนก็ว่าได้ เนื่องจากญาติโยมก็ความเบื่อหน่ายกับพฤติกรรมของพระครูปลัดธีระฯ ซึ่งกระทำให้เกิดความเสื่อมในคณะสงฆ์ อาตมาพบญาติโยมทุกที่ ก็เสียงเดียวกันว่าเบื่อหน่ายกับพฤติกรรมที่ ปรากฏ แต่อาจจะมาก็ไม่คิดจะเป็นการซ้ำเติมใดใดเพราะถ้าท่านปฏิบัติดีแล้วก็จะต้องมีคนออกมาปกป้องท่านไปแล้ว” หลวงพี่น้ำฝน กล่าว
หลวงพี่น้ำฝน กล่าวต่อไปว่า สำหรับเรื่องนี้มีความชัดเจนคือการปกครองของคณะสงฆ์ต้องเริ่มที่เจ้าอาวาสเป็นหลัก เพราะท่านเป็น ผู้ดูแลพระในสังกัด หากพระลูกวัดประพฤติไม่เหมาะสมในฐานะที่ท่านเป็นผู้ดูแลก็มีอำนาจในการขับออกหรือสั่งให้ลาสิขาได้ทันทีไม่จำเป็นต้องเดือดร้อนไปถึงเจ้าคณะตำบล เจ้าคณะอำเภอ เจ้าคณะจังหวัด ซึ่งในกรณีของพระครูปลัดธีระฯ ก็ชัดเจนว่ามีความกระด้างกระเดื่องเพราะเมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน ก็ได้มีการไปพบกับท่านเจ้าอาวาสและมีการถ่ายคลิปเอาไว้เป็นหลักฐาน แต่วันต่อมาก็ได้มีการเดินทางไปที่กองปราบปรามและมีการแถลงข่าวจนเป็นประเด็นที่สังคมมองไปในทางเสื่อมเสีย
หลวงพี่น้ำฝน กล่าวต่อไปว่า สำหรับสถานะของพระครูปลัดธีระฯ ตอนนี้คือท่านยังมีสภาพในการห่มผ้าเหลืองอยู่ ซึ่งหากใครเจอตัวก็จะต้องนำมาสอบสวนและทำการสึกเนื่องจากท่านเป็นพระที่ไม่มีสังกัดแล้ว โดยธวัชอื่นๆจะรับไว้ก็ไม่ทราบว่าท่านจะอยู่ได้อย่างไร ยิ่งมีการติดตามโดยสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติให้มีการนำตัวมาสอบสวนอีก ก็เป็นอีกกรณีหนึ่งด้วย อาตมาย้ำว่าพระสงฆ์ทุกรูปต้องอยู่ภายใต้กฎของมหาเถรสมาคม เป็นหลัก ที่สำคัญพระสงฆ์จะต้องอยู่วัดตลอดเวลา ไปไหนมาไหนจะต้องมีการแจ้งเจ้าอาวาสให้ทราบและต้องมีการขออนุญาตให้ถูกต้อง ซึ่งตอนนี้อยากให้พุทธศาสนิกชนหรือญาติโยมได้มีมุมมองอีกหนึ่งมุมคือพระที่ปรากฏเป็นข่าวเป็นเพียงพระเล็กน้อยที่ก่อเรื่องเสื่อมเสีย เรายังมีพระสงฆ์ดีดีอยู่มากมายในประเทศของเรา แต่ข่าว ก็มักจะมีแต่ข่าวเสียเสียของพระบางรูปที่ประพฤติไม่เหมาะสมออกไป
หลวงพี่น้ำฝนเพิ่มเติมว่า สำหรับกรณีของพระครูปลัดธีระฯ ตอนนี้หากใครพบเห็นสามารถติดต่อประสานงานมาที่หมายเลขโทรศัพท์มือถือของอาตมาโดยตรง หรือจะแจ้งไปยังสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ สำนักงานพระพุทธศาสนาประจำจังหวัดนั้นนั้นได้ทันที และขอเน้นย้ำว่านับจากนี้ในคณะสงฆ์ภาค 14 ที่อาตมาอยู่ในสังกัดและทำงานอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของพระธรรมวชิรานุวัตร เจ้าคณะภาค 14 จะมีการเข้มงวดและติดตามพฤติกรรมของพระสงฆ์ที่ประพฤติตนไม่เหมาะสม ซึ่งญาติโยมและประชาชนทั่วไปก็สามารถที่จะช่วยกันติดตามแจ้งข่าวหรือรายงานข้อมูลให้ทราบเพื่อช่วยจรรโลงพระพุทธศาสนาของเราได้ด้วยเช่นกัน
สำหรับข้อความในเอกสาร สำคัญมีข้อความดังนี้
วัดสามชุก ตำบลสามชุก
อำเภอสามชุก จังหวัดสุพรรณบุรี
15 พฤศจิกายน 2567
เรื่อง สั่งให้พ้นจากสังกัดสามชุก
เรียน พระครูปลัดธีรธนัชณฤทธา เมตฺตธมฺโม
ตามที่ ท่านได้มาขอเข้าสังกัดวัดสามชุก ตั้งแต่ปี พ.ศ.2565 เมื่อทำหนังสือสุทธิเรียบร้อยแล้ว ท่านไม่เคยมาพัก ค้างอยู่จำวัตรหรือจำพรรษาในวัดสามชุกเลย และไม่เคยบอกให้ทราบว่าไปทำกิจใดอยู่ที่ไหน จวบจนกระทั่งเกิดปัญหา ออกสื่อไปทั่วโลกเมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2567 ผมได้มีหนังสือให้ท่านกลับไปที่วัด ท่านก็กลับไปในวันที่ 4 พฤศจิกายน 2567 เพียงระยะเวลาสั้นๆ ถ่ายคลิปเอาไปเป็นหลักฐานให้ตนเองว่ากลับไปตามที่มีหนังสือเรียกแล้ว โดยในวันนั้นผมก็ได้แนะนำให้ยุติการกระทำที่ก่อให้เกิดภาพลักษณ์ที่ไม่ดี ท่านก็รับปากว่าจะหยุด แต่วันที่ 5 พฤศจิกายน 2567 ท่านก็ไปยื่นแถลง ข่าวที่หน้ากองบังคับการตำรวจกองปราบปราม ตามที่ท่านทราบดีอยู่แล้ว
ในฐานะที่ผมเป็นเจ้าอาวาสเจ้าสังกัดก็ยังมีเมตตาได้มีหนังสือเลขที่ 42/2567 ลงวันที่ 15 พฤศจิกายน 2567 สั่งให้ท่านกลับไปอยู่ประจำที่วัดเช่นพระภิกษุผู้อยู่ในสังกัดรูปอื่นๆ ภายใน 7 วัน และมีคำสังห้าม 3 ข้อ แนะนำให้ปฏิบัติ 1 ข้อ พร้อมกับกำชับมาด้วยว่า หากไม่กลับหรือไม่เชื่อฟังคำสั่ง ไม่อยู่ในโอวาทของเจ้าอาวาสผมจะสั่งให้ท่านพ้นจากสังกัดวัดสามชุก แม้วันนี้จะยังไม่ครบ 7 วันตามเงื่อนไขแรก แต่ดูจากพฤติกรรมแล้ว ท่านไม่ได้ให้ความสำคัญกับการจะรีบกลับอยู่ ที่วัด ยังคงเดินทางไปปรากฏตัวตามที่ต่างๆ และที่สำคัญท่านแสดงออกทางกายและวาจาผ่านสื่อโซเชี่ยลละเมิดข้อห้าม อย่างไม่สนใจในคำสั่งของผม อันแสดงให้เห็นว่าท่านไม่ให้ความสำคัญกับคำสั่งของเจ้าอาวาส จงใจจะฝ่าฝืนคำสั่งเมื่อเป็นดังนี้ จึงเท่ากับว่า ท่านเพียงขอเอาชื่อมาเข้าสังกัดไว้พอให้ได้ชื่อว่าเป็นพระมีสังกัด ส่วนท่านเองจะไปแสดงพฤติกรรมที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อองค์กรคณะสงฆ์ครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่ว่าจะเสียหายร้ายแรงเสื่อมเสียเพียงใด ท่านก็ไม่สะทกสะท้าน แม้สังคมจะรุมประณามตำหนิติเตียนอย่างไรท่านก็ไม่มีความละอาย ไม่มีสมณสัญญาตามที่ควรจะเป็นเลยแม้แต่น้อย ผลจากการกระทำของท่านทำให้ผมซึ่งเป็นเจ้าอาวาสเจ้าสังกัดของท่านและผู้ปกครองตั้งแต่เจ้าคณะตำบลขึ้นไป และส่วนราชการที่เกี่ยวข้องพลอยถูกตำหนิติเตียนอย่างรุนแรงไปด้วย และเสี่ยงต่อการที่จะถูกร้องทุกข์กล่าวโทษใน ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 ฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ไปด้วย
ด้วยเหตุผลดังกล่าวโดยย่อ โดยหนังสือฉบับนี้ ผมขออาศัยอำนาจตามความในมาตรา 38 (2) แห่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ.2505 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2535 ความว่า “สั่งให้บรรพชิตและคฤหัสถ์ซึ่งไม่อยู่ในโอวาทของเจ้าอาวาสออกไปเสียจากวัด” ออกคำสั่งให้ท่านพ้นจากสังกัดวัดสามชุก ตำบลสามชุก อำเภอสามชุก
จังหวัดสุพรรณบุรีทันที ที่ท่านได้อ่านหนังสือฉบับนี้ ไม่ว่าจะโดยทางช่องใดก็ตาม เนื่องจากผมไม่สามารถส่งเอกสารไปให้ท่านได้เพราะท่านไม่เคยบอกและไม่เคยให้ที่อยู่สำหรับการติดต่อส่งเอกสาร แม้โดยหนังสือฉบับนี้ จะถือได้ว่าท่านได้พ้นจากสังกัดมิใช่เป็นพระภิกษุ ผู้อยู่ในสังกัดวัดสามชุกแล้วก็ตาม แต่เพื่อให้เป็นไปตามกฎระเบียบมหาเถรสมาคม ให้ท่านรีบนำหนังสือสุทธิมาย้ายชื่อออกจากสังกัดวัดสามชุกโดยเร็ว
จึงเรียนมาเพื่อทราบและให้ถือปฏิบัติตามทันที
เรียนมาด้วยความนับถือ
(พระครูสุวรรณวิจิตร ดร.)
เจ้าอาวาสวัดสามชุก
วัดสามชุก โทร.08-9000-8462
สุรเชษฐ ศิลานนท์ รายงาน