“ไอ้กรร” เขยขี้ยาฆ่าเชือดคอพ่อตาเปิดปากเล่าเป็นฉากๆ แค้นเมียไประบายกับพ่อตา สาเหตุโกรธที่เมียแจ้ง รปภ.ให้มาพาตัวออกจาก รพ.ขณะเข้าไปอาละวาดโวยวาย จึงเก็บความแค้นก่อนไปก่อเหตุสยอง
กรณีเขยขี้ยา นายกรรชิตพล (นพรัตน์) อายุ 27 ปี ก่อเหตุฆ่านายอุทัย (ศรีวิมล) อายุ 68 ปี พ่อตาเสียชีวิตที่บ้านเลขที่ 47 หมู่ 14 ต.ท่าเรือ อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช พบศพช่วงเช้าวันนี้ (8 ม.ค.68) อยู่ในสภาพถูกเชือดคอเป็นแผลฉกรรจ์ ซึ่งนายกรรชิตพลฯ ลูกเขยนั้นติดยาเสพติดอย่างรุนแรงจนภรรยาป่วยเป็นโรคซึมเศร้าเข้ารักษาตัวที่ รพ. กระทั่งนายกรรชิตพลฯ เมายาไปอาละวาดที่โรงพยาบาลขณะภรรยารักษาตัวอยู่จนวุ่นวาย กระทั่งไปก่อเหตุสยองนั้น
ล่าสุดช่วงสายของวันนี้ (8 ม.ค.68) ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจนำโดย พ.ต.ท.วรจิตร วรศรี รอง ผกก.ป.สภ.ชะเมา อ.เมือง ได้รับแจ้งว่านายกรรชิตพลฯ ผู้ต้องหารายนี้ได้พกมีดไปป้วนเปี้ยนอยู่ที่หน้า รพ.มหาราชนครศรีธรรมราช เพื่อทำอะไรบางอย่าง จึงส่งกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวนเร่งเดินทางไปที่ รพ.ดังกล่าว และสามารถจับกุมตัวได้โดยละม่อม พร้อมอาวุธมีดเชือดหมูของกลางที่ใช้ก่อเหตุเชือดคอพ่อตาเมื่อช่วงกลางดึกของคืนวันเดียวกัน
จากนั้นเจ้าหน้าที่ได้ควบคุมตัวไปสอบปากคำที่ห้องสืบสวน สภ.ชะเมา โดยนายกรรชิตพล หรือ “ไอ้กรร” ซึ่งมีท่าทางเหมือนยังเมายาได้เปิดปากเล่าเป็นฉากๆ ว่า เคียดแค้นภรรยาและแม่ยายที่แจ้งให้ รปภ.ของ รพ.มหาราชฯ มาล๊อกตัวออกจากห้องผู้ป่วยที่ภรรยารักษาตัวอยู่ และถูก รปภ.ทำร้ายด้วย หลังจากนั้นจึงเก็บความแค้นไประบายความแค้นฆ่าเชือดคอนายอุทัยฯ พ่อตาที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ด้วย จริงๆ แล้วตั้งใจจะฆ่าภรรยาแต่ทำไม่ได้เพราะอยู่ รพ.
นอกจากนี้นายกรรชิตพล หรือ “ไอ้กรร” ยังแสดงท่าตอนก่อเหตุฆ่าเชือดคอนายอุทัยฯ พ่อตาด้วย โดยบอกว่า ก่อนเกิดเหตุได้ไปเรียกนายอุทัยฯ พ่อตาที่บ้านให้มาเปิดประตูบอกว่าจะมาเอาแมวของตน หลังจากเข้าไปในบ้านนายอุทัยฯ ก็หันหลังก้มลงจับแมว ตนจึงเอามือปิดปากแล้วชักมีดเชือดหมูออกมาจากเอวแล้วปาดคอจนล้มลงเสียชีวิตทันที ซึ่งชาวบ้านใกล้เคียงไม่มีใครได้ยินเสียงแม้แต่คนเดียว จนกระทั่งคนไปพบศพตอนเช้า
ขณะที่ พ.ต.ท.วรจิตร วรศรี รอง ผกก.สภ.ชะเมา ระบุว่า หลังสอบปากคำผู้ต้องหาให้การรับสารภาพ และนำตัวไปตรวจปัสสาวะพบว่าฉี่ม่วง โดยได้ตั้งข้อหาฆ่าคนตายโดยเจตนา รวมทั้งข้อหาคดียาเสพติด และกำลังรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อนำตัวไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพในจุดเกิดเหตุต่อไป.
ธีรศักดิ์ อักษรกูล รายงาน