ก่อนอื่นต้องขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวของ นายคณากร เพียรชนะ อดีตผู้พิพากษาหัวหน้าคณะชั้นต้นในศาลจังหวัดยะลา ที่ต้องสูญเสียหัวหน้าครอบครัวไปอย่างไม่มีวันกลับ หลังจากที่ท่านตัดสินใจใช้อาวุธปืนปลิดชีวิตตนเองที่บ้านพักในจังหวัดเชียงใหม่เมื่อเช้าวันตรู่วันนี้ (7 มีนาคม) ซึ่งนอกจากจะเป็นความสูญเสียอันใหญ่หลวงของครอบครัวแล้ว ต้องถือว่าเป็นความสูญเสียของกระบวนการยุติธรรมและประชาชนโดยรวมอีกด้วย
นายคณากร เคยพยายาม เอาชีวิตเข้าแลก เพื่อกระตุ้นเตือนให้สังคมไทยได้ประจักษ์ ถึง ความไม่ชอบมาพากล ความไม่เป็นธรรม และความไม่เป็นอิสระของกระบวนการยุติธรรมไทย โดยเฉพาะใน พื้นที่ปลายด้ามขวาน ซึ่งเผชิญกับปัญหาความไม่สงบมาอย่างต่อเนื่องนานนับสิบปี โดยรากเหง้าของปัญหาที่ยอมรับกันก็คือ ความอยุติธรรม!!
โดยครั้งนั้นผู้พิพากษาคนกล้าได้ใช้อาวุธปืนยิงตนเองในห้องพิจารณาคดีที่ 4 ที่ศาลจังหวัดยะลาเมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2562 ซึ่งเขาได้ออกแถลงการณ์ยาว 25 หน้า ผ่านสื่อออนไลน์ระบุถึงสาเหตุที่ต้องทำเช่นนั้นว่าถูก อธิบดีผู้พิพากษาภาค 9 แทรกแซงผลคำพิพากษาที่ตัวเขาเป็นเจ้าของสำนวนเพื่อให้กลับคำพิพากษาตัดสินลงโทษผู้บริสุทธิ์!?!
นอกจากจะพูดถึงคดีแล้วยังมีข้อเรียกร้อง 2 ข้อ ถึงสภานิติบัญญัติ นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี ดังนี้ คือ
1.เรียกร้องให้สภานิติบัญญัติออกกฎหมายแก้ไขเพิ่มเติม พระธรรมนูญศาลยุติธรรม เพื่อห้ามกระทำการตรวจร่างคำพิพากษาก่อนอ่านให้คู่ความฟัง ทั้งห้ามกระทำใด ๆ อันมีผลเป็นการแทรกแซงผลคำพิพากษา
2.เรียกร้องให้สภานิติบัญญัติและนายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรี ให้ความเป็นธรรมทางการเงินแก่ผู้พิพากษาทั่วประเทศ ซึ่งทราบว่ามีผู้พิพากษาบางกลุ่มจัดทำรายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้นานแล้ว แต่มีข้อขัดข้องไม่สามารถส่งออกจากศาลยุติธรรมเพื่อนำเสนอต่อสภานิติ บัญญัติและคณะรัฐมนตรีได้ ซึ่งทั้ง 2 ข้อมีจุดมุ่งหมาย เพื่อการธำรงไว้ซึ่งความอิสระของผู้พิพากษา และกระบวนการยุติธรรมโดยรวม มิได้มุ่งหวังเพื่อประโยชน์ส่วนตนแม้แต่นิดเดียว!!!
แม้ว่าครั้งนั้นนายคณากรจะได้รับการช่วยเหลือจนพ้นขีดอันตราย แต่สิ่งที่ได้รับคือการ ถูกศาลยุติธรรมตั้งกรรมการสอบสวนและยังถูกพนักงานสอบสวนแจ้งข้อกล่าวหา เป็นผู้ต้องหาในคดีอาญา และถูกสั่งให้ไปช่วยราชการที่จังหวัดเชียงใหม่ จากใต้สุดไปเหนือสุด โดยคู่กรณีที่ถูกพาดพิงยังอยู่สบายไม่แม้แต่จะถูกตั้งกรรมการขึ้นมาสอบสวน และข้อเรียกร้องเพื่อให้เกิดความโปร่งใสในการทำงานของศาลก็ไม่เคยถูกหยิบยกขึ้นมาพิจารณาโดยผู้มีอำนาจในบ้านเมือง!!!
ครั้งนี้ผู้พิพากษาใจเด็ดได้โพสต์ข้อความเป็นจดหมายลาตายอีกครั้ง ลงวันที่ 5 มีนาคม โดยตอนหนึ่งระบุว่า
“ผมถูกศาลยุติธรรมตั้งกรรมการสอบสวนและยังถูกพนักงานสอบสวนแจ้งข้อกล่าวหา เป็นผู้ต้องหาในคดีอาญา ซึ่งผมเชื่อว่าต้องถูกลงโทษออกจากราชการเป็นแน่ ทั้งการดำเนินคดีกับตัวผมเพิ่งจะเริ่มต้นการสูญเสียหน้าที่การงานที่รักนั้น คือ การสูญเสียตัวตนทั้งกลับกลายเป็นผู้ต้องหาเสียเอง สภาพร่างกายและจิตใจของผม ไม่อาจรับไหวเต็มไปด้วยความทุกข์
เส้นทางชีวิตของผมในชาตินี้ได้ขาดลงแล้ว ผมขอยืนยันกับเพื่อนๆพี่น้องประชาชนชาวไทยทุกท่านว่า สิ่งที่ทำลงไปผมทำด้วยหัวใจที่บริสุทธิ์ต้องการให้ความยุติธรรมแก่ประชาชนและไม่เสียใจที่ได้กระทำผมภูมิใจที่เป็นส่วนหนึ่งในการให้ความยุติธรรมแก่ประชาชน ในอดีตที่เราใช้รัฐธรรมนูญ พ.ศ.๒๕๔๐ ที่ถูกร่างขึ้นโดย สสร. ประชาชนและนักวิชาการทั้งหลายต่างยอมรับว่าเป็นรัฐธรรมนูญที่มีความเป็นประชาธิปไตยมากที่สุดเท่าที่ประเทศเราเคยมีมา
ท่านคงสงสัยว่า ขณะใช้รัฐธรรมนูญดังกล่าวทำไมจึงไม่ให้มีการตรวจร่างคำพิพากษาในศาลชั้นต้นเพราะอะไร หรือ สสร. รู้ว่าการตรวจร่างคำพิพากษาในศาลชั้นต้นอาจเปิดโอกาสให้มีการแทรกแซงผลคำพิพากษาโดยอธิบดีผู้พิพากษาภาค ขออนุญาตถามเพื่อนๆพี่น้องประชาชนชาวไทยง่ายๆ ว่า สิ่งที่ผมทำลงไปจนถูกสอบวินัยและตกเป็นผู้ต้องหาคดีอาญานี้ท่านพบความชั่วหรือความเลวอยู่ในการกระทำของผมบ้างหรือไม่ ขอทุกท่านตอบในใจเบา ๆ ก็พอส่วนผมรู้คำตอบมาตั้งแต่ต้นแล้วเสียดายที่ท่านไม่ใช่ผู้ตัดสิน”
หากพิจารณาถึงคำถามในจดหมายประเด็นที่ “รัฐธรรมนูญ พ.ศ.2540 ไม่ให้ตรวจร่างคำพิพากษาในศาลชั้นต้น เพราะอาจจะเกิดการแทรกแซง” อาจทำให้เราหลายคนตั้งคำถามว่านอกจาก “การแทรกแซงผลคำพิพากษา” แล้ว อาจจะทำให้เกิด “ผลคำพิพากษารั่ว” ได้หรือไม่ เมื่อนึกย้อนไปถึงคดีความหลายคดีที่จำเลยมีโอกาสล่วงรู้ผลการพิพากษาล่วงหน้าทำให้มีโอกาสที่จะตัดสินใจว่าจะอยู่ยอมรับโทษ หรือจะหลบหนี แน่นอนว่าหลายคดี จำเลยหลบหนี ไม่มาปรากฏตัวในวันพิพากษา!!
การพลีชีพของนายคณากรครั้งนี้ทำให้นึกถึงบุรุษผู้กล้า นามว่า สืบ นาคะเสถียร อดีตหัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง นักวิชาการ นักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ชายผู้เอาชีวิตเข้าแลกเพื่อเรียกร้องให้สังคมหันมาสนใจ ให้ความสำคัญและปกป้อง ผืนป่า และสัตว์ป่า เมื่อ 30 ปีก่อน ซึ่งชีวิตอขงเขาไม่สูญเปล่าเพราะในที่สุดคนไทยหันมาสนใจและใส่ใจกับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอย่างจริงจัง และทำให้ ห้วยขาแข้งยังคงเป็นมรดกโลกทางธรรมชาติ และเป็นผืนป่าที่มีความอุดมสมบูรณ์ที่สุดแห่งหนึ่งในทวีป
หวังว่าการสละชีพของ สืบ นาคะเสถียร แห่ง กระบวนการยุติธรรม จะกระตุ้นให้สังคมไทยหันมาทำการสังคายนากระบวนการยุติธรรมไทยอย่างเอาจริงเอาจัง โดยผ่านกระบวนการตรากฎหมาย ที่ รธน.ฉบับปี 2540 ทำสำเร็จมาแล้วระดับหนึ่ง เราต้องทำให้องค์กรตุลาการซึ่งเป็นหนึ่งในอำนาจอธิปไตยให้มีความอิสระ โปร่งใส ปราศจากการแทรกแซงจากผู้มีอำนาจ ทั้งในแวดวงศาลเอง และจากภายนอก เพื่อธำรงไว้ซึ่งความเชื่อมั่น เชื่อถือ จากประชาชนโดยรวม เพราะหากชาวบ้านหมดสิ้นศรัทธาในกระบวนการยุติธรรมเมื่อใด แล้วไปแสวงหาความเป็นธรรมกันเอง เมื่อนั้นบ้านเมืองจะลุกเป็นไฟ แล้วลูกหลานเราจะอยู่กันอย่างไร หากลูกกระสุนถูกใช้เพื่อทวงถามความยุติธรรม!?!ส
โดยอิทธิเดช ลุย
อ.157 รายงาน
(หมายเหตุ ท่านที่ประสงค์จะให้ทุนการศึกษาแก่ลูกของผู้พิพากษาคณากรเพื่อสืบสานปณิธานอันแรงกล้าของท่าน สามารถบริจาคได้ที่ ธนาคารไทยพาณิชย์ชื่อบัญชี นายคณากร เพียรชนะ เลขบัญชี 714-236993-0)