ลิ้นจี่พันธุ์นครพนม 1 หรือ นพ.1 เป็นลิ้นจี่ที่พัฒนาโดยกรมวิชาการเกษตร และกรมส่งเสริมการเกษตร นำมาต่อยอดส่งเสริม ให้เกษตรกร โดยเฉพาะในจังหวัดนครพนมปลูก จนเป็นสินค้า GI ที่มีชื่อเสียงของจังหวัดนครพนม นอกจากนี้ยังส่งเสริมให้เกษตรกร รวมกลุ่มแปลงใหญ่ลิ้นจี่ จากข้อมูลปี 2560 มีผลผลิตรวม 580.8 ตัน พื้นที่เก็บเกี่ยว 1,098 ไร่ จากพื้นที่ปลูกทั้งหมด 2,711 ไร่
นายเข้มแข็ง ยุติธรรมดำรง อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร กล่าวหลังจากการลงพื้นที่ แปลงใหญ่ลิ้นจี่ อ.เมือง จ.นครพนม ว่า “ลักษณะที่โดดเด่นของลิ้นจี่ นพ.1 คือ รสหวานอมเปรี้ยวเล็กน้อย ผลใหญ่ เนื้อแห้ง ไม่เละ เป็นพันธุ์ที่ให้ผลผลิตเร็ว สำหรับพันธุ์ลิ้นจี่ ที่ปลูกในประเทศไทยแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มที่ปลูกในภาคกลางและภาคอื่น ๆ เป็นพันธุ์ที่ต้องการความหนาวเย็นที่ไม่เย็นมากและระยะเวลาหนาวเย็นที่ต่อเนื่องกันไม่นานก็สามารถชักนำให้ออกดอกได้ เรียกว่า ลิ้นจี่กลุ่มพันธุ์เบา เก็บเกี่ยวผลผลิตช่วงปลายเดือนมีนาคมหรือเมษายน เช่น พันธุ์ค่อม สำเภาแก้ว เขียวหวาน กระโถนท้องพระโรง สาแหรกทอง และพันธุ์นครพนม 1 เป็นต้น และกลุ่มพันธุ์ที่ปลูกทางภาคเหนือ เป็นพันธุ์ที่ต้องการความหนาวเย็นมากและต่อเนื่องยาวนานในการกระตุ้นและชักนำการออกดอก ให้ผลผลิตในช่วงเดือนพฤษภาคม-กรกฎาคม เช่น พันธุ์ฮงฮวย จักรพรรดิ์ กิมเจ็งบริวสเตอร์ และกิมจี๊ เป็นต้น
ปัจจุบันลิ้นจี่ นพ.1 หรือ นครพนม 1 เป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายทั้งในและต่างประเทศ ได้แก่ จีน เวียดนาม ซึ่งต้องการผลผลิตปีละ 500 – 1,000 ตัน แต่ผลผลิตยังไม่เพียงพอ ซึ่งจากข้อมูลของด่านตรวจพืชนครพนม มีการส่งออกลิ้นจี่ นพ.1 จำนวนมากถึง 240 ตัน มูลค่ากว่า 30 ล้านบาท สำหรับการขายตลาดในประเทศ ผลผลิตจะออกสู่ตลาดจะอยู่ในช่วงเดือนเมษายนของทุกปี ราคาขายเฉลี่ย 100 – 300 บาท/กก. ซึ่งออกก่อนลิ้นจี่ทางภาคอื่นๆ ทำให้ไม่มีปัญหาเรื่องตลาด และระบบกลุ่มแปลงใหญ่ทำให้สามารถวางแผนการผลิต การดูแล ได้อย่างเหมาะสม
ภาพ/ข่าว เทพพนม ว่าที่ร้อยตรี อาทิตย์ อุ่นนาแชง รายงาน