วันที่ 15 มกราคม 2564 ที่ตำบลบ้านเสียว อำเภอนาหว้า จังหวัดนครพนม นายธนูศร ปัญญาสาร ประธานกลุ่มแปลงใหญ่โคเนื้อบ้านดอนพะธาย เปิดเผยว่า การใช้ชีวิตของคนเราทุกวันนี้ต้องพึ่งพาการเกษตรเป็นหลัก เพราะฉะนั้นเกษตรกรต้องเป็นเกษตรกรยุคใหม่และต้องหันไปดูวิถีเก่า คือการใช้ปุ๋ยอินทรีย์ อย่าลืมว่าเคมีนั้นทำลายชีวิต แต่อินทรีย์นั้นสร้างชีวิต สร้างภูมิคุ้มกัน สร้างความต้านทานให้กับชีวิตเรา จึงอยากให้พี่น้องที่ทำการเกษตรด้านปศุสัตว์ทุกคนอย่ามองแต่ตัววัวอย่างเดียว ต้องมองสิ่งต่าง ๆ ที่ทุกคนมองข้ามด้วย เพราะรายได้ 2 ปี ถ้าเลี้ยงวัวเพื่อรอขายอย่างเดียวจะขาดทุนตั้งแต่เริ่มคิดแล้ว แต่ถ้าคิดว่ารายวัน รายเดือนจะหารายได้อะไรจากวัว ก็คงต้องเป็นมูลวัว ซึ่งตรงนี้ถ้าเราเอามายกระดับ อัพเกรดให้ได้ราคาที่สูงขึ้น จากราคากิโลกรัม 2 บาท เป็นกิโลกรัมละ 6 บาท 7 บาทไปจนถึง 10 บาท ซึ่งถ้าทำแบบนี้ท่านจะรู้ว่าวัวไม่ได้ขายไม่เป็นไร ขอให้วัวขับถ่ายทุกวันเราก็จะมีรายได้ไปตลอด สิ้นปีมาจะเป็นเงินก้อนใหญ่ที่เราออมไว้ในตัววัวการขายปุ๋ยตรงนี้
ส่วนใครที่ถามว่าปุ๋ยอินทรีย์ดีจริงไหม ก็ต้องบอกว่าดีจริงแต่ต้องไม่โกงพี่น้องเกษตรกร อย่างกลุ่มของเราที่ทำอยู่ตอนนี้ เราจะยังไม่ให้สั่งซื้อแต่จะต้องมาดูขั้นตอนการผลิตของเราก่อน ท่านเอาปุ๋ยไปใส่พืชอะไรก็ให้บอกมา เราจะใส่ส่วนผสมให้ตรงตามที่พืชนั้นต้องการ เพราะนำไปใส่นาข้าวก็มีสูตรเฉพาะ ใส่พืชผลไม้อย่างอื่นก็ต้องไปดูว่า พืชผลไม้นั้นต้องการไปบำรุงในส่วนไหน หัว ใบ ราก ดอกหรือว่าผล โดยในอนาคตปุ๋ยของกลุ่มเราจะออกไปในลักษณะกระสอบสีต่าง ๆ ส่วนแนวทางที่กลุ่มวางไว้ข้างหน้า อยากให้เป็นกลุ่มเลี้ยงโคที่ไม่ได้มุ่งเน้นรายได้จากการขายโค แต่เน้นรายได้จากการขายปุ๋ยมูลวัวที่มีเกรดสูงที่เรานำมาผสมธาตุอาหารที่พืชต้องการให้ตรงตามหลักความเป็นจริงมากกว่า ซึ่งเราจะไม่มีการโกหกชาวบ้าน เพราะเราไม่ใช่นายทุนที่ต้องซื้อทุกอย่าง แต่เราผลิตจากวัตถุดิบของกลุ่มพี่น้องเกษตรกรผู้เลี้ยงโคบ้านดอนพะธาย ที่แต่ละคนมี 3 กระสอบ 4 กระสอบหรือ 5 กระสอบเอามารวมกันผลิต แล้วก็คืนให้ทุกคนในราคาต้นทุนของส่วนผสม ที่เหลือก็เอาไปจำหน่าย ดังนั้นเกษตรกรทุกคนจะได้ใช้ปุ๋ยในสูตรเดียวกันทั้งหมด
ที่สำคัญอีกอย่างคือเรื่องของเวลาที่เราจะต้องอยู่กับวัว อย่าให้เกิน 1 ชั่วโมง เพราะเราจะติดนิสัยกับการแช่เวลาอยู่ตรงนี้ ซึ่งการเลี้ยงวัวยุคใหม่ให้ทำแบบธุรกิจ คนมีงานประจำก็ทำได้ เริ่มตั้งแต่เช้าตื่นขึ้นมาให้อาหารวัวเสร็จก็เก็บมูลวัวที่เปียกออก ส่วนมูลแห้งรอให้วัวเยียบย้ำแล้วเย็นค่อยมาเก็บกวาดให้หมด เวลาที่เหลือก็เอาไปทำงานตามปกติ อย่ามาเสียเวลากับตรงนี้ เป็นการเรียนรู้ สร้างนิสัยให้ตนเอง อย่าลืมว่าคุณไม่ได้ใช้เงินคนเดียวแต่ใช้ทั้งครอบครัว
การเลี้ยงวัวยุคใหม่ไม่ต้องไปสนใจว่าแดดจะร้อน ฝนจะตก ฟ้าจะผ่า ฟ้าจะร้อง เพราะวัวของเราอยู่ในคอก น้ำก็มีระบบลูกลอย วัวกินเมื่อไหร่น้ำก็ไหลออกมาเอง การเกษตรแบบใหม่ 4.0 จำเป็นอย่างมากที่จะต้องมีเทคโนโลยีเข้ามาสนับสนุน เพราะถ้าเราผสมอาหารให้วัวโดยใช้จอบก็จะขาดทุนในเรื่องแรงงาน เรื่องของเวลา แต่ถ้าเรานำเทคโนโลยีมาใช้ตรงนี้ก็คือเครื่องผสมอาหาร ขณะที่มูลวัวถ้าเราเอาใส่กระสอบแต่ไม่มีเทคโนโลยีก็ได้ราคาเพียงไม่เท่าไหร่ แต่ถ้าเราเอาเครื่องมาบดอัดเป็นเม็ด ใช้เวลาไม่กี่นาทีก็ออกมาวางขายในราคาที่สูงขึ้น ฉะนั้นในตอนนี้ที่เทคโนโลยีต่างๆเข้ามาแล้ว เกษตรกรเราต้องยอมเปลี่ยนทุกอย่างในอดีต พูดง่าย ๆ ก็คือในวงจรชีวิตการเลี้ยงสัตว์เราต้องจบทุกอย่างในตัว คือเลี้ยงวัว ทำนา ก็เอามูลวัวไปใส่นาโดยให้เป็นปุ๋ยที่มีคุณภาพสูง ใส่ผักก็จะกลายเป็นผักอินทรีย์ ซึ่งตรงนี้จะทำให้เกิดกลุ่มปุ๋ยชีวภาพ คนที่ทำการเกษตรแบบชีวภาพ ข้าวชีวภาพจะเกิดขึ้น สำหรับกลุ่มเรายังมองอะไรอีกหลายๆ อย่างต่อไปในอนาคต วันไหนวัวล้นตลาดจริง ๆ ก็อาจจะทำเป็นเนื้อวัวแห้งหรือทำลูกชิ้นเนื้อวัวเพื่อออกมาจำหน่าย
เทพพนม รายงาน